ตอนที่ 459 องค์รัชทายาทแคว้นอี๋ตกตะลึง
“นี่คือเมืองจินหลิง ! ”
“ศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์หยู ! ”
“ข้าเคยมาเมื่อคราที่ยังเยาว์วัย”
เยียนเหลียงเจ๋อและคณะทูตอีกนับร้อยชีวิตได้เดินทางมาถึงจินหลิงในวันที่สาม เดือนสิบสอง ยามเย็น ในขณะนี้ขบวนรถของพวกเขาได้หยุดอยู่ที่ประตูเมืองทางตะวันออกของจินหลิง พวกเขายืนอยู่บนกองหิมะสีขาวที่ราวกับขนนก เยียนเหลียงเจ๋อชี้ไปทางเมืองจินหลิงและกล่าวอย่างฉะฉานว่า
“ข้ายังจำได้ว่าปีนั้นข้าอายุเพียง 8 ปี หลังจากที่ได้เห็นเมืองจินหลิงนี้ ข้าก็ได้ตั้งปณิธานที่ยิ่งใหญ่ไว้ว่า วันหนึ่งข้าจะยืนอยู่บนหอคอยสูงนี้ และมองลงมายังทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง ! ”
เขาถอนหายใจ และพ่นควันสีขาวออกมาเสียยืดยาว “ฟ้าส่งข้าเยียนเหลียงเจ๋อมาเกิด แล้วเหตุใดต้องส่งฟู่เสี่ยวกวนมาด้วยกัน ! ”
“หากมิมีพลังจากปืนใหญ่หงอีนั่น ทัพใหญ่ของแคว้นอี๋ก็จะสามารถยึดเมืองยุทธศาสตร์หลานหลิงเอาไว้ได้ การเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกใกล้เข้ามาแล้ว… แต่คาดมิถึงว่าในตอนนี้ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับความอดสูในโอกาสและชะตากรรมนี้ ! ”
เขาถอนหายใจยาวออกมา รองราชทูตที่อยู่ข้างกายของเขา หัวหน้าเสนาธิการท้องพระโรงอี้เจิ้งแห่งแคว้นอี๋เปียนมู่หยูกลับรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ที่มิดีขึ้นมาในใจ… ข่าวการมาถึงจินหลิงในวันนี้ของคณะทูต พวกเขาได้ส่งมาให้กับกรมพิธีการของราชวงศ์หยูล่วงหน้าแล้ว !
ตามกฎแล้ว ในเวลานี้ขุนนางจากกรมพิธีการ ควรจะมาต้อนรับพวกเขาได้แล้ว !
บัดนี้ท้องนภาก็ใกล้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำของรัตติกาลแล้ว ด้านนอกประตูเมืองทางตะวันตกกลับมิมีแม้แต่เงาผี นี่คือสถานการณ์อันใดกัน ?
ดังนั้นเขาจึงขัดจังหวะการจินตนาการขององค์รัชทายาท โน้มกายไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาท… พวกเรายังมิเห็นขุนนางของราชวงศ์หยูเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยียนเหลียงเจ๋อชะงักไปทันพลัน ใช่แล้ว องค์รัชทายาทมาเยือนด้วยตนเอง แล้วเหล่าขุนนางต้อนรับจากราชวงศ์หยูเล่า ?
เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วในใจก็ค่อย ๆ สงบลง “ราชวงศ์หยูโอ้อวดว่าตนเป็นแคว้นแนวหน้า ถิ่นกำเนิดของความรู้อันศักดิ์สิทธิ์ แคว้นแห่งพิธีการ พวกเขาเป็นพวกรักษาเกียรติ มิมีวันที่จะดูแคลนแคว้นอี๋เพราะความพ่ายแพ้ของพวกเราเป็นแน่ บางทีกรมพิธีการอาจจะกำลังจัดการ จงวางใจเถิด รออีกสักประเดี๋ยว ข้าเข้าใจชาวราชวงศ์หยูดี รับประกันได้ว่าค่ำคืนนี้จะมีสุราและอาหารรอรับพวกเราอยู่”
เปียนมู่หยูได้ยินดังนั้น จึงคิดว่าเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง
ถึงแม้เขาจะยังมิเคยมายังราชวงศ์หยู แต่ในฐานะขุนนางระดับสูงของแคว้นอี๋ เขาย่อมมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับราชวงศ์หยู
ชาวราชวงศ์หยูและชาวอี๋นั่นมิเหมือนกัน พวกเขาครอบครองผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนต่างอิ่มหนำสำราญ และเล่าเรียนคำสอนศักดิ์สิทธิ์ และได้เล่าเรียนมาจนถึงปัจจุบันนี้ กล่าวกันว่าแม้จะเป็นเพียงแค่เกษตรกรแต่ก็ทราบถึงธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างดี ซึ่งชาวอี๋มิสามารถเทียบได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นการมาเจรจาสันติที่จินหลิงครานี้ ท้องพระโรงอี้เจิ้งจึงคิดกลยุทธ์ในการเจรจาสันติครานี้ไว้ว่า สรรเสริญเยินยอ สรรเสริญเยินยออย่างเอาเป็นเอาตาย สรรเสริญเยินยออย่างนอบน้อม !
เพียงแค่สรรเสริญทูตตัวแทนเจรจาจากราชวงศ์หยูก็เพียงพอแล้ว เพียงแค่ยกฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูให้สูงขึ้นก็เพียงพอแล้ว การพ่ายแพ้สงครามในครานี้ มิแน่ว่าอาจจะมิต้องเสียเงินสักตำลึงเดียว ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับปูนบำเหน็จจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายคราในประวัติศาสตร์ !
ราชวงศ์หยูโอ้ว่าตนเองเป็นแคว้นแนวหน้า ย่อมมีความผ่าเผยของแคว้นแนวหน้าโดยปริยาย แต่หากแคว้นอี๋เอ่ยปากเรียกพี่ชายอย่างนอบน้อม พี่ใหญ่ย่อมจะมิตบหน้าน้องเล็กอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะมอบรางวัลใหญ่ให้กับพวกเขาอีกเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความเอื้อเฟื้อของแคว้นแนวหน้า
โง่เง่าสิ้นดี
ในสายตาชาวอี๋ ชาวราชวงศ์หยูนั้นโง่เง่าอย่างแท้จริง !
แต่ในสายตาของชาวราชวงศ์หยู ไม่เพียงมิใช่เรื่องที่โง่เง่า แต่กลับมองว่านี่เป็นอำนาจของแคว้น !
สำหรับเยียนเหลียงเจ๋อแล้ว การเดินทางมาราชวงศ์หยูด้วยตนเองครานี้ ก็คือการเดินทางชุบทองเท่านั้น… แพ้สงครามแล้วเยี่ยงไร ข้าในฐานะองค์รัชทายาทจะคว้าผลงานอันยอดเยี่ยมจากการเจรจาสันติในครานี้มาให้จงได้ กองทัพชายแดนตะวันออกถอนกำลังจากที่ราบสีหม่าแล้ว รอให้แคว้นอี๋ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม รอจนค้นคว้าปืนใหญ่หงอีออกมาได้ ก็จะกลับมาประจัญหน้ากับราชวงศ์หยูอีกครา !
ข้า องค์รัชทายาท ไม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าที่เป็นองค์รัชทายาทก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว !
เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนำทัพหงหลิงด้วยตนเอง และกวาดล้างราชวงศ์หยูแห่งนี้เสียให้สิ้น ข้าจะยึดดินแดนของราชวงศ์หยู และรวมเป็นแผนที่ของแคว้นอี๋ให้จงได้ !
เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกคึกคะนองขึ้นมาทันพลัน แล้วจึงชี้ไปทางกำแพงสูงของเมืองอีกครา แล้วกล่าวว่า “จินหลิงมีราษฎรทั้งสิ้น 3,000,000 คน แต่เมืองไท่หลินเมืองหลวงของแคว้นอี๋กลับมีเพียง 1,000,000 คนเท่านั้น ดังนั้นการค้าของจินหลิงจึงรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ละกิจการบานสะพรั่งดั่งดอกไม้ นี่คือสิ่งที่แคว้นอี๋ควรเรียนรู้เอาไว้”
“หลังจากที่เจรจาสันติได้จบลง ข้าจะพาพวกเจ้าไปชมทัศนียภาพของเมืองจินหลิง ดินแดนวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์หลานถิงจี๋ แม่น้ำฉินหวายที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม และแหล่งเรียนรู้อันศักดิ์สิทธิ์สำนักศึกษาจี้เซี่ยและอื่น ๆ ”
“ข้ามิได้จะพาพวกเจ้าไปรับชมความรื่นรมย์แต่อย่างใด พวกเจ้าต้องสังเกตถึงความแตกต่างของแคว้นอี๋และแคว้นหยูเอาไว้ให้จงดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)