เรือนหลังนี้กว้างขวางกว่าที่ซีซานถึง 4 เท่าตัว !
พื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 9 หมู่ !
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นดังนั้นก็ได้สูดหายใจลึก ต่งชูหลานเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ในใจนางคิดไปว่าหากจะบูรณะที่แห่งนี้จะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดกัน !
แน่นอนว่าเรือนนี้ช่างงดงามและประณีตมากยิ่งนัก เพียงแต่หลายปีมานี้ท้องพระคลังของราชวงศ์หยูนั้นมีเหลืออยู่น้อยมากยิ่งนัก ไทเฮาจึงมิได้เดินทางมาพักที่นี่เป็นเวลานานโข ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมิได้ถูกเก็บกวาดอย่างดีสักเท่าใดนัก บัดนี้มีเพียงนางในอาวุโสสองคนเท่านั้นที่ดูแลที่สถานที่แห่งนี้
ชุนเจียวและซูเซียงอยู่ที่นี่มาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว พวกนางได้เห็นเรือนหนานซานแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อครายังรุ่งโรจน์จนกระทั่งเสื่อมสภาพลงเช่นนี้ เดิมทีพวกนางคิดว่าเรือนกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้จะต้องเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ เป็นแน่ จวบจนกระทั่งพวกนางจากโลกนี้ไป เรือนแห่งนี้ก็คงจะทรุดล้มลงตามไปด้วยเป็นแน่ คาดมิถึงว่าในวันนี้จะมีผู้ครอบครองคนใหม่เข้ามา
พวกนางมิรู้จักฟู่เสี่ยวกวน แต่พวกนางรู้จักองค์หญิงเก้าเป็นอย่างดี
จากการต้อนรับของทั้งสอง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามในการเดินชมเรือนแห่งนี้ และได้มาหยุดนั่งลงตรงที่ศาลากลางเรือน
ชุนเจียวหยิบเตาผิงออกมา ส่วนซูเซียงนั้นเดินเข้าไปรินน้ำชา ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลังของหยูเวิ่นหวินตามประเพณี
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่านดูแลเรือนได้ดีมากยิ่งนัก พวกเราจะทำการปรับปรุงด้านหน้าบริเวณพื้นที่ 3 หมู่นั้นก่อน วันรุ่งขึ้นข้าจะไปหาเสนาบดีกรมอุตสาหกรรมท่านปี้ตง แล้วจะไหว้วานให้เขาส่งคนจากกรมอุตสาหกรรมมาวางแผนและดูแลงาน แต่คนงานเหล่านั้นจะต้องไปค้นหามาจากเขตสลัม ค้นหาบรรดาช่างสัก 100 คนคาดว่าน่าจะพอ”
ต่งชูหลานคำนวณอย่างรวดเร็วในใจ นางมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ค่าใช้จ่ายในการบูรณะพื้นที่ 3 หมู่นี้ คาดว่าจะมากถึง 100,000 ตำลึง”
ที่แห่งนี้มิสามารถทำผลผลิตกำไรได้ อีกทั้งมองดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขาคงมิได้มาพักที่นี่บ่อยนัก หากจะลงทุนมากมายถึงเพียงนี้สำหรับต่งชูหลานแล้วนางคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงมีท่าทีขัดแย้ง
“อ่า…สิ่งสำคัญมิใช่ด้านใน แต่เป็นด้านนอก ที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับซีซาน ดังนั้นข้าจะก่อสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่นี่ เมื่อถึงเวลาแล้ว พวกเจ้าจงย้ายโรงงานเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่ คาดว่าจะต้องขยายใหญ่ขึ้นไปอีก”
“หากเริ่มลงมือตอนนี้ คาดว่าฤดูร้อนในปีหน้าก็จะสามารถเริ่มผลิตได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นยามเมื่อพวกเราเดินทางมาดูงาน มีที่พักอาศัยก็คงจะดีมิน้อย”
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนชมดูเรือนหนานซานแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจและวางแผนงานสำหรับที่นี่แล้วเรียบร้อย ยามที่พวกเขาเดินทางกลับไปยังจวนฟู่ที่เมืองจินหลิง หิมะยังคงตกหนัก ท้องนภาก็เริ่มมืดมิดมากแล้ว
หลู่เสี่ยวตงเดินทางมาถึงประตูจวนฟู่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
เขายืนหลบหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักอยู่บริเวณขอบประตูจวน มือทั้งสองข้างซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขางอตัวและเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น
ช่างหนาวเหน็บเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นกังวลยิ่ง
กังวลว่าคุณชายฟู่จะยอมให้คนยากจนชาวสลัมไร้การศึกษาเยี่ยงเขาเข้าพบหรือไม่ และกังวลว่าตนจะมีโอกาสได้พบคุณชายฟู่ที่มีธุระมากมายต้องจัดการหรือไม่
เขายืนอยู่ที่นี่กว่าครึ่งค่อนวันแล้ว หลี่เจิ้งที่เป็นคนเฝ้าประตูจวนฟู่เฝ้ามองเขามาครึ่งวัน จนกระทั่งยามเว่ยจึงได้เดินออกมา
“เจ้ารอผู้ใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลู่เสี่ยวตงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลันแล้วรีบยกยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบว่า “ข้าน้อยอยากขอเข้าพบคุณชายฟู่”
เข้าพบเจ้านายใหญ่ของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
หลี่เจิ้งหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “มีเรื่องอันใดกัน ? ”
“…เอ่อ ข้าน้อยอยาก ร้องขอคุณชายฟู่ให้เมตตาอาหารสักมื้อ”
อ้อ หางานทำ…หลี่เจิ้งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ในจวนมิต้องการคนงานเพิ่มแล้ว เขาควรจะทำเยี่ยงไรดี ?
เขามิได้ขับไสไล่ส่งเฉกเช่นคนเฝ้าประตูที่จวนอื่น ๆ เนื่องจากเขามาทำงานที่จวนฟู่ได้ 1 ปีแล้ว เขารู้ดีว่าคุณชายและฮูหยินมีจิตใจโอบอ้อมอารี พวกเขามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ และน้อยครั้งที่จะเข้มงวดกับพวกเขา
ดังนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงได้กล่าวออกมาว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง ในวันนี้คุณชายเดินทางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ บัดนี้ยามอู่แล้ว เจ้าเข้ามากินข้าวร้อน ๆ สักถ้วยก่อนเถิด แล้วจงไปรอที่ลานกว้าง ที่นั่นมีเตาผิงอยู่ อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ประเดี๋ยวจะหนาวเสียจนป่วยเอา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)