สรุปเนื้อหา ตอนที่ 462 พบกันโดยบังเอิญ – นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บท ตอนที่ 462 พบกันโดยบังเอิญ ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ในหมวดนิยายทะลุมิติ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 462 พบกันโดยบังเอิญ
คณะทูตจากแคว้นอี๋ได้หาที่พักบริเวณใกล้ ๆ กับเขตเมือง ในที่สุดพวกเขาก็ได้พักผ่อนเสียที
เยียนเหลียงเจ๋อหารือกับเปียนมู่หยูว่าเรื่องนี้จะต้องหาทางออกให้จงได้ พวกเขาจะต้องหาจุดอ่อนของฟู่เสี่ยวกวนให้พบ มิมีมนุษย์คนใดไร้ข้อบกพร่อง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้า เขาจะต้องมีความหลงใหลในบางสิ่งอย่างแน่นอน
เพียงแค่รู้ว่าเขาชื่นชอบอะไร ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจได้ ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้แคว้นอี๋เสียผลประโยชน์ระหว่างการเจรจาน้อยที่สุด จึงจะเป็นเรื่องที่ดี
เยียนเหลียงเจ๋อล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับรางวัลจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูที่จะประทานให้ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาจะยอมรับและชดเชยในบางส่วนให้อีกด้วย
ส่วนเรื่องจำนวนเงินที่จะชดเชยนั้น ต้องดูก่อนว่าจะสามารถเติมเต็มความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนได้หรือไม่
“พาหรงเอ๋อร์และท่านแม่ทัพหลานไปด้วย ส่วนคนที่เหลือกินข้าวรออยู่ที่นี่”
“องค์ชายจะทรงไปที่ใดกัน ? ”
“ในเมื่อมาแล้ว พวกเราจะต้องหาวิธีให้จงได้ บัดนี้กินข้าวกินปลากันก่อนเถอะ หลายวันมานี้มิได้แม้แต่จะกินข้าวให้อิ่มหนำ พวกเราทั้งสี่คนจะไปที่หอซื่อฟางกัน”
เยียนเหลียงเจ๋อและอีก 3 คนเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม พวกเขาเรียกรถม้ามา 2 คันจากนั้นก็ตรงไปยังหอซื่อฟางทันที
ในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและฮั่วหวยจิ่นได้เดินทางไปเชิญหนิงหยู่ชุน จึงได้รู้ว่าฉินโม่เหวินกลับมาแล้ว ดังนั้นทั้งสามคนจึงได้เดินทางทางไปยังจวนฉินพร้อมกัน แต่กลับมิพบฉินโม่เหวิน เจ้าหมอนี่หนีไปอยู่ที่จวนของฉินปิ่งจงเป็นแน่
ดังนั้นพวกเขาจึงได้หันรถม้ากลับไปยังจวนของฉินปิ่งจง หลังจากได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยสัญญากับฉินปิ่งจงว่าจะนำตำราหลี่เสวียของสิงเหวินโจวกลับมาให้กับเขา
“ตำรานั้นข้าเคยได้อ่านแล้ว ยังคงจำได้ขึ้นใจ สองสามวันนี้ข้าจะคัดลอกออกมาแล้วจะนำมามอบให้กับท่านพี่ในภายหลัง ! ”
เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้ว ฉินปิ่งจงจึงมิได้รั้งฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จึงได้ออกเดินทางอีกคราเพื่อไปยังหอซื่อฟาง
เมื่ออยู่ในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณามองดูฉินโม่เหวินอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งฉินโม่เหวินกล่าวขึ้นว่า “มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามิรู้จักข้าหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วตอบกลับไปว่า “มิได้เจอตั้ง 1 ปี เจ้ายังคงหล่อเหลาตามเคย คาดว่าเจ้าจะมีชีวิตรื่นรมย์ดีที่ซูเฉิน ! ”
“รื่นรมย์บ้าบออันใดกัน ! ” ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยออกมาว่า “ข้าเพิ่งจะคุ้นเคยกับเจียงเป่ยได้มินาน ก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้กลับมารับตำแหน่ง วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรงจะให้ข้าไปยังกวนซีเต้า…ที่แห่งนั้นช่างไกลมากยิ่งนัก วันนี้ข้าได้ทำความเข้าใจมาว่าเฟิงโจว หยินโจวและเซี่ยโจวที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นยากจนข้นแค้นเสียจนไร้ซึ่งคำบรรยาย ! ”
ฉินโม่เหวินหยุดไปชั่วครู่ “เดิมทีข้าคิดว่าหากเจ้าได้เป็นหัวหน้ากรมการค้าอะไรนั่นแล้ว ข้าจะได้เข้าไปอยู่ในกรมของเจ้าด้วย นี่อะไรกัน มิเห็นแม้แต่เงา…เจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกแล้วหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ยุ่งเป็นอย่างมาก ! อยากจะมีสักสามหัวหกขา ข้าว่าเจ้าอย่าได้พล่ามบ่นไปเลยจะดีกว่า นี่นับว่าฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้แก่เจ้าแล้ว จากที่ข้ารู้มา ที่กวนซีเต้านั้นในปีหน้าจะมีเขตทดลองทางเศรษฐกิจถึง 2 เขต หากเจ้าทูลขอฝ่าบาท บางทีอาจจะได้เพิ่มขึ้นอีกสักสองสามเขต”
แววตาของฉินโม่เหวินเป็นประกายขึ้นมาทันใด รูปแบบการค้าของเขตเหยานั้นเขาได้เห็นมากับตาของตนเองแล้ว
จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมซีซานและนโยบายที่ฝ่าบาททรงลดหย่อนและยกเลิกการเก็บภาษีการค้า ทำให้บัดนี้ที่เขตเหยามิได้มีเพียงอุตสาหกรรมซีซานเท่านั้น
หลินเจียงเป็นพื้นที่ที่แม่น้ำทั้งสองสายมาบรรจบกัน มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เดิมทีก็มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมากอยู่แล้ว พ่อค้าค่อนข้างมีความกล้าหรืออาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาว่องไวต่อโอกาสทางการค้า ในฤดูร้อนปีนี้เขตเหยาได้เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมถึง 7 แห่งด้วยกัน
จากมุมมองของฉินโม่เหวินแล้ว นี่เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เขาเข้าใจดีว่าเขตทดลองการค้านี้เป็นโอกาสที่ดี เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวดังนั้น เขาจึงรู้สึกดีใจขึ้นมา เขามีแผนการไว้ในหัวแล้วว่า อีกสองสามวันเขาจะไปเข้าเฝ้าทูลขอฝ่าบาทเพิ่มอีกสัก 2 แห่ง
“ประหลาดแท้ ! ” หรงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยียนเหลียงเจ๋อเอ่ยออกมา
นี่เป็นคราแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ณ ด้านหน้าหอซื่อฟางแห่งนี้ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เยียนเหลียงเจ๋อและพรรคพวกนั้นขึ้นไปที่ชั้นสอง
ณ ห้องชั้นสามอันโอ่อ่า หนิงหยู่ชุนได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ผู้ใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “คณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋ องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อ”
หนิงหยู่ชุนตกตะลึงขึ้นทันพลัน “เหตุใดจึงมิมีคนจากกรมพิธีการหรือหงหลูซื่อติดตามมาด้วยกัน ? มิใช่สิ ! ข้าได้ยินมาว่าการเจรจาในครานี้ เจ้าเป็นผู้นำทูตเจรจา จะเชิญพวกเขามาร่วมดื่มหน่อยหรือไม่ ? ”
นี่คือท่าทีของผู้ชนะที่ควรจะมี ในมุมมองของหนิงหยู่ชุนและคนอื่น ๆ นั้น สงครามครานี้พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาได้ยอมยกธงขาวขอสันติแล้ว ก็ควรจะไว้หน้าพวกเขาเป็นเรื่องปกติ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ชาวราชวงศ์หยูโดยกำเนิด เขามิเห็นดีเห็นงามกับความคิดเช่นนี้ ในเมื่อข้ารบชนะ ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ควรจะอยู่เบื้องใต้ ข้าจะไปสนใจพวกเจ้าทำไมกัน ?
จะมัวเสียแรงเสียเวลาไปทำไมกัน ?
หน้าตาของแคว้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว มิได้สำคัญไปกว่าเงินทองที่พวกเขาจะต้องชดเชย
“เจ้ามีเงินมากเยี่ยงนั้นหรือ ? จะไปเชิญพวกเขาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ? ว่าแต่เจ้า ควรจะให้ทหารยามจับตามองคนกลุ่มนี้ให้ดี หากว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจงจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ต่อหน้ากฎหมายนั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)