เดือนสิบสอง วันที่สี่ ท้องนภาเพิ่งจะกระจ่างขึ้นมา
องครักษ์นับร้อยคนได้นำรถม้าสิบกว่าคันออกไปจากค่ายองครักษ์หลวง และตรงไปยังเส้นทางภูเขาหนานซาน
นี่คือคำขอที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ไหว้วานกับฮั่วหวยจิ่นไว้ในเมื่อคืนวาน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้หยูเวิ่นหวินกลับไปยังวังหลวงอีกครา เพื่อขอพระราชโองการจากฝ่าบาท
แทบจะในเวลาเดียวกัน ไฟในเขตสลัมของเมืองจินหลิงก็ได้สว่างโร่ขึ้นมา ควันไฟพวยพุ่งออกมาทางหลังคา ทำให้หิมะที่ตกลงมาละลายหายไป
เมื่อคืนวานหลู่เสี่ยวตงได้นำคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนมาประกาศยังที่นี่เรียบร้อยแล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 2 ชั่วยาม ข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วสลัม
ผู้คนต่างวิ่งออกไปกระจายข่าว ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง !
มิมีผู้ใดสงสัยว่าคำเอ่ยเหล่านั้นของหลู่เสี่ยวตงจะเป็นเรื่องเท็จ เพราะถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเจอฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของนามนี้มาเนิ่นนานแล้ว
โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยในปีนี้ที่มาจากสองฟากฝั่งแม่น้ำหวงเหอ พวกเขาทราบถึงกิจการที่คุณชายฟู่ได้ทำไว้เหล่านั้นเป็นอย่างดี
“เขาคือพระโพธิสัตว์ ปีที่แล้วเพื่อผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคน เขาได้สร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ซีซาน และในตอนนี้คนเหล่านั้นก็ได้ตั้งรกรากอยู่กันที่ซีซานแล้ว พวกเขามีชีวิตที่ดีเป็นอย่างมาก นั่นคือเรื่องจริง ! ”
“ดังนั้น…คุณชายฟู่ทำเพื่อแก้ไขการดำรงชีพของพวกเรา เขาจึงได้สร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่ภูเขาหนานซานอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น คุณชายฟู่มิใช่คนที่ขาดแคลนเรื่องเงินทอง เขาเป็นถึงบุตรเขยของฝ่าบาท เกรงว่าหากฝ่าบาทเสวยอันใดก็ยังต้องแบ่งให้เขาครึ่งส่วน พวกเจ้าลองกล่าวมาสิว่าเขามีความจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องนี้หรือไม่เล่า มิใช่เพื่อให้พวกเราสามารถหาเงินได้เยี่ยงนั้นหรอกหรือ ? ”
“ได้ฟังมาจากพ่อค้าที่มาจากหย่งหนิงว่า หลังจากที่คุณชายฟู่สามารถทลายรังโจรได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีพของชาวบ้านที่นั่น เขาได้สร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่ผิงหลิงและชวูอี้เช่นกัน กล่าวกันว่ารับสมัครคนงานไปราวแสนกว่าคน ! ”
“นี่คือพระผู้เป็นเจ้าได้ลืมตาขึ้น และได้ส่งคุณชายฟู่ลงมา เขาเกิดมาเพื่อช่วยพวกเราอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดเขาจึงมิขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ไปเลยเล่า ? ”
“…..”
ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะดีหรือชั่วโดยสันดาน ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้โปรยความหวังไว้ที่เขตสลัมขนาดใหญ่นี้ ผู้คนในที่นี้ ไม่ว่าชายหญิงชราหรือเยาว์วัยต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจกันถ้วนหน้า
โดยธรรมชาติที่นี่ย่อมมีคนที่เกียจคร้านและมีคนที่ลักเล็กขโมยน้อย แต่หากมีอาชีพที่ถูกที่ควรมาวางอยู่เบื้องหน้า ในใจของพวกเขาก็ยังคงเลือกหนทางที่ต้องดิ้นรนอยู่ดี
มีบางคนที่อยากจะหารายได้ด้วยสองมือของตนเอง และแน่นอนว่าก็มีบางคนที่มิยินยอมจะไปจากที่นี่เช่นกัน พวกเขาคิดจะใช้ชีวิตที่นี่คนเดียวกินแค่พออิ่มและครอบครัวมิหิวโหยก็เพียงพอแล้ว
ครอบครัวของหลู่เสี่ยวตงตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่
หลู่จาวตี้กำลังจุดไฟอยู่หน้าเตา แสงไฟสีส้มสะท้อนกับแก้มอ่อนนุ่มของนาง บนใบหน้านั้นประดับไปด้วยความสุขที่ยังคงมิจางหายไปตั้งแต่เมื่อวาน
จ้าวซื่อนำข้าวฟ่างที่ซาวแล้วใส่ลงไปในหม้อ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงคว้าข้าวกล้องมาอีกสองกำ “จาวตี้ ระวังหน่อย เปิดฝาหม้อออกสักเล็กน้อยเถอะ ประเดี๋ยวมันอาจจะหกออกมาได้”
“อือ” หลู่จาวตี้ขานรับ แต่ในใจกลับครุ่นคิดคำที่บิดากล่าวว่าคุณชายตระกูลฟู่จะมาที่นี่ด้วยตนเอง… คุณชายตระกูลฟู่เป็นคนแบบไหนกัน ?
หลู่จาวตี้ที่อายุยังน้อยและยังไร้ประสบการณ์จึงไม่สามารถวาดรูปลักษณ์ของคุณชายฟู่ขึ้นมาในหัวได้ ท้ายที่สุดนางก็ทำได้เพียงแค่อ้างอิงเศรษฐีผู้หนึ่งที่เคยพบเจอที่บ้านเกิดของนางเท่านั้น… คาดว่าน่าจะสวมเสื้อหนาบุปุยฝ้ายที่สวยงามหรูหรา สวมหมวกหนังที่มีขนปุกปุย ใบหน้าอวบอูม ทั้งยังมีร่างกายที่ท้วมราวกับถังน้ำ
มีเพียงครอบครัวชั้นสูงเท่านั้นที่จะกินดีอยู่ดีจนสามารถเติบโตมาด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นได้ มิเช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้าน เหตุใดจึงผอมแห้งถึงเพียงนี้กันเล่า ?
จ้าวซื่อเก็บของใส่กระเป๋า เรียบง่ายมากยิ่งนัก สองกระเป๋ากับลังหนึ่งใบก็สามารถนำของใส่ลงไปได้ทั้งหมด เมื่อลองนึกดูก็พบว่าได้จากบ้านเกิดมาครึ่งปีแล้ว ยามที่มาก็มีสิ่งของเหล่านี้ติดมาด้วย ยามที่จากไปก็ยังมีสิ่งของเหล่านี้ติดไปด้วยอีกเช่นกัน
ชีวิตก็เหมือนวงกลม
แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครานี้จะสามารถเดินออกไปจากวังวนนี้ได้เสียที
…..
…..
เวลารุ่งสาง
ท้องนภายังคงมิสว่างมากเท่าใดนัก
จินเชียนฮู่จากจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้พาเจ้าหน้าที่ 1,000 นายมาถึงเขตสลัม พวกเขาแยกกันออกเป็นกอง หนึ่งกองมี 100 นาย คอยเฝ้าตามทางแยกบนถนน
ท่านฟู่ต้องการมาที่นี่ และท่านหนิงก็ได้สั่งอย่างสุดกำลังว่า ห้ามมิให้เกิดอุบัติเหตุกับท่านฟู่แม้แต่นิดเดียว !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)