นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 464

ตอนที่ 464 พ่อตาและลูกเขย
ตอนที่ 464 พ่อตาและลูกเขย

ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง

กาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะมีไอร้อนลอยโขมง กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

ฮ่องเต้ทรงประทับที่หัวโต๊ะ ด้านซ้ายคือเยี่ยนฮ่าวชู เสนาบดีกรมกลาโหม ด้านขวาคือต่งคังผิง เสนาบดีกรมพิธีการ ตรงข้ามของพวกเขาก็คือฟู่เสี่ยวกวนนั่นเอง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางไปหนานซาน ภรรยาของเขาต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้เดินทางไปจัดการแทน โดยมีซูซูและซูโหรวติดตามไปด้วย จะให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยกับภรรยาของเขาทั้งสามมิได้เป็นอันขาด

ส่วนหยูเวิ่นหวินนั้นอยู่ที่จวนฟู่ ข้างกายของนางยังมีผู้มีฝีมืออยู่สองคน ส่วนตัวเขานั้น มีปืนในมือ !

จากแผนการเดิม ในวันนี้กรมการค้าจะเปิดดำเนินการ เขาในฐานะหัวหน้ากรมวาระที่หนึ่งควรจะไปนั่งอยู่ในกรมด้วย แต่บัดนี้ในกรมกลับมีเพียงรองหัวหน้ากรม หลี่ฉาย เท่านั้น

เขานั่งอยู่ตัวคนเดียว

มองดูแล้วช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน

ฟู่เสี่ยวกวนถูกฝ่าบาทพาตัวมายังห้องทรงพระอักษร แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใด

พ่อตาทั้งสามคนนั่งอยู่ตรงข้ามเขาเยี่ยงนี้ ทำให้เขามีความกดดันมากยิ่งนัก !

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

หรือเพราะเมื่อคืนตนแอบไปดื่มสุราแล้วถูกภรรยาทั้งสามจับได้จึงนำไปฟ้องกัน ?

เขาถูมือไปมาแล้วนำน้ำชาที่ต้มจนเดือดแล้วรินใส่แก้ว ส่งให้พ่อตาทั้งสาม จากนั้นก็เหลือบตามอง พบว่าพ่อตาทั้งสามมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป องค์จักรพรรดิทรงมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนต่งคังผิงดูเหมือนมิได้สนใจอันใด ช่างเข้าใจยากยิ่งนัก แต่เยี่ยนฮ่าวชูนั้นกลับมีรอยยิ้มแปลก ๆ ผุดขึ้นมา !

พวกท่านกำลังจะตัดสินคดีความสามศาลหรือเยี่ยงไรกัน ?

หรือจะแข่งขันพลังลมปราณกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไปดังนั้นเขาจึงมองไปยังฮ่องเต้ พ่อตาที่มีอำนาจมากที่สุด ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นแล้วยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท เชิญดื่มชาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าขอเอ่ยถามเจ้าหน่อยเถิด คณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋เดินทางมาถึงเมื่อวานเย็นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ ? ”

อ่า… เรื่องนี้นี่เอง ต้องเป็นสวี่หวยซู่ตาเฒ่านั่นนำเรื่องนี้ไปฟ้องในการประชุมเมื่อตอนเช้าเป็นแน่

“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมทราบแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกับกรมพิธีการแล้ว และเป็นกระหม่อมเองที่มิให้พวกเขาไปสนใจคณะทูตเจรจาเหล่านั้น”

ฮ่องเต้ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ราชวงศ์หยูเป็นจุดกำเนิดด้านมารยาท แต่เจ้ากลับให้พวกเขาไปหาที่พักในโรงเตี๊ยมกันเอง ! หากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แคว้นอื่น ๆ จะกล้าเป็นพันธมิตรกับแคว้นเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่า แคว้นอื่น ๆ จะต้องประสงค์เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน เนื่องจากราชวงศ์หยูเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่โตและแข็งแกร่ง ฝ่าบาททรงไตร่ตรองดูเถิด นี่มิได้ต่างจากในห้องเรียนเลย สหายร่วมชั้นคนอื่น ๆ จะต้องอยากสนิทสนมกับพวกเด็กเรียน อ่า… หมายถึงบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีที่สุดในห้อง”

“และในกลุ่มนั้น มีบัณฑิตคนหนึ่งที่มีเงินแต่เรียนมิเก่ง เขาจึงใช้เงินเพื่อซื้อสหายร่วมชั้นคนอื่นให้มาสรรเสริญเยินยอตน เพื่อให้ตนมีหน้ามีตา”

“ขอกราบทูลถามฝ่าบาทว่า สหายที่คบหากับบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีและสหายที่คบกับบัณฑิตที่มีเงิน กลุ่มใดจะจริงใจกว่ากัน ? ”

พ่อตาทั้งสองต่างก็ชะงักไปทันพลัน เจ้าหมอนี่บังอาจยิ่ง กล้าเอ่ยถามกลับมาเช่นนี้ !

แต่ปัญหานี้… อืม ดูน่าสนใจยิ่ง !

คำตอบนั้นมิเอ่ยก็รู้ สหายของบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีย่อมจริงใจกว่าอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขายกย่องในความสามารถของบัณฑิตผู้นั้น ส่วนสหายของบัณฑิตที่มีเงินนั้น หากวันใดไร้เงินก็คงไร้ประโยชน์

ประโยคนี้หากนำไปเปรียบเทียบระหว่างแคว้น ก็ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง

ฟู่เสี่ยวกวนรีบเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “ในตอนนั้นสงครามทางตะวันออกแคว้นอี๋เป็นผู้เริ่มก่อน อีกทั้งเกือบจะทำให้หลานหลิงต้องพินาศ ฝ่าบาททรงไตร่ตรองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากด้านตะวันออกมิมีองค์ชายใหญ่คอยเฝ้าคุ้มกันและโจมตีกลับ เกรงว่าบัดนี้ทหารของแคว้นอี๋คงจะบุกรุกเข้ามาในราชวงศ์หยูได้แล้ว”

“การปฏิบัติต่อแคว้นที่ไร้น้ำใจเช่นนี้ เหตุใดต้องกระทำอย่างมีมารยาทต่อพวกเขากัน ? ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)