ฉินปิ่งจงจึงละสายตาออกมาจากหนังสือนั้นแล้วมองมาทางฉินฮุ่ยจือด้วยท่าทางประหลาดใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปพร้อมกับกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “นั่งสิ”
จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วเดินไปยังโต๊ะในมุมหนึ่งของห้องอักษร ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเปิดอ่านหนังสือต่อ
ฉินฮุ่ยจือนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฉินโม่เหวินไปต้มชากาใหม่มาให้พวกเขา
ในความทรงจำของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขามิคุ้นเคยกับฉินฮุ่ยจือสักเท่าใดนัก เนื่องจากเขาเป็นผู้มีตำแหน่งในสำนักอัครมหาเสนาบดี อีกทั้งน้อยครานักที่จะเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้ไปเข้าร่วมประชุมบ่อยสักเท่าใดนัก จึงทำให้มิคุ้นเคยกับเขา
บัดนี้ทั้งสองได้นั่งห่างกันเพียงแค่เอื้อม ฟู่เสี่ยวกวนจึงอดมิได้ที่จะจ้องมองดูเขา
ใบหน้านี้ผอมบางแต่เด็ดเดี่ยว คิ้วทั้งสองข้างเป็นเส้นตรง สันจมูกที่ชัดเจนเสริมใบหน้าของเขาให้ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
ฉินโม่เหวินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขานั้นเกรงกลัวบิดา นับตั้งแต่ที่ฉินฮุ่ยจือเดินเข้ามา เขาก็ทำเพียงก้มหน้าก้มตาชงชาเท่านั้น ทำทีเป็นบุตรที่ว่านอนสอนง่าย ไร้ซึ่งความป่าเถื่อนแต่อย่างใด
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองดูฉินฮุ่ยจืออยู่ตลอดเวลา แต่ฉินฮุ่ยจือเพียงชายตามามองเขาเพียงแค่คราเดียวเท่านั้น
“ก่อนหน้าที่ท่านจะเดินทางกลับมายังเมืองหลวง ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนได้ผลักดันนโยบายเรื่องความเสมอภาคในเกษตรกรรมและการค้า ข้าได้โต้แย้งกับเขาในพระราชวังจินเตี้ยน… ข้ายังคงคิดเห็นว่าราษฎรนั้นควรให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากที่สุด ดังนั้นการพัฒนาด้านการเกษตรมากว่าพันปีจึงสามารถสร้างราษฎรนับร้อยนับพันล้านได้ แต่ข้ามิเห็นว่าการค้าจะทำให้อิ่มท้องและทำให้ราษฎรมีชีวิตที่มั่นคงได้”
“ในที่ประชุม มีคนเรียกพวกข้าที่สนับสนุนเกษตรกรรมสำคัญกว่าการค้าว่าอนุรักษ์นิยม และเรียกพวกอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่สนับสนุนให้การค้าและเกษตรกรรมเสมอภาคเท่าเทียมกันว่าปฏิรูปนิยม”
ฉินฮุ่ยจือเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามว่า “หากจะโยงถึงแหล่งที่มาของนโยบายนี้ แน่นอนว่าท่านฟู่เป็นผู้ร่างขึ้นมา ที่ข้าเดินทางมาในวันนี้เพื่อต้องการเอ่ยถามท่านฟู่ว่า นโยบายนี้ร่างขึ้นเพื่อต้องการทำลายล้างราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ประโยคนี้มิใช่เพียงประโยคคำถามธรรมดา ๆ แต่แฝงไปด้วยการกล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวน !
แม้แต่มือของฉินโม่เหวินที่กำลังจับหูกาน้ำชาอยู่นั้นก็สั่นคลอนเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางท่านพ่อของเขา
ฉินฮุ่ยจือมิได้ใส่ใจสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย ดวงตาอันทรงพลังคู่นั้นยังคงจับจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวนราวกับกำลังจะเค้นหาความจริงออกมาจากแววตาของฟู่เสี่ยวกวนให้จงได้
แววตาอันสงบนิ่งของฟู่เสี่ยวกวนสบประสานกับฉินฮุ่ยจือ มุมปากของเขาเผยอขึ้น คิ้วและดวงตาบ่งบอกถึงความเยาะเย้ย
“คำถามของท่านฉินเมื่อสักครู่ควรจะนำไปกล่าวที่พระราชวังจินเตี้ยนกับฝ่าบาท ท่านเอ่ยกับข้า…” ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก “ไร้ซึ่งประโยชน์อันใด แม้ว่าตำแหน่งของท่านจะสูงกว่า อีกทั้งกรมการค้าจะอยู่ในความดูแลของสำนักอัครมหาเสนาบดี แต่ข้าจะมิยอมรับคำใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลของท่านเป็นอันขาด ที่จริงตัวข้าก็อยากจะเอ่ยถามท่านเช่นกันว่า ท่านนั้นมีความสามารถพอในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้หรือไม่ ? ”
ฉินฮุ่ยจือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวต่อไปว่า “หากท่านฉินมีความสามารถในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้ ก็ควรจะไปต่อต้านอยู่ที่พระราชวังจินเตี้ยนอย่างสุดความสามารถกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน หากว่าท่านไร้ความสามารถในการโต้แย้ง… ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนตาสว่าง มิมีผู้ใดตาบอด พวกเขาจะทำการตัดสินเองหลังจากดำเนินการ มิจำเป็นที่จะต้องให้ท่านฉินมากล่าวสรุปความไร้สาระเหล่านี้”
คำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวนนับว่ายังไว้หน้าฉินฮุ่ยจืออยู่บ้าง มิใช่เพราะฉินโม่เหวินนั่งอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะเดิมทีสหายของเขานั้นก็มีมิมากนักอยู่แล้ว จึงมิอยากเสียสหายไปเพราะเรื่องนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)