หิมะที่เมืองจินหลิงยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยออกมาข้างนอก
จวนของฉินปิ่งจงเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าปีที่แล้ว
ปีที่แล้วบุตรชายของเขาฉินติ้งฟางได้เข้ารับตำแหน่งจือโจวในหนิงโจวที่แม่น้ำหวงเหอทางเหนือ ปีนี้แม่น้ำฮวงโหได้เอ่อล้นขึ้นมาอีกครา เป็นอันว่าเทศกาลปีใหม่นี้ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกลับมาแล้ว
หลานชายฉินเฉิงเย่ก็ได้ไปยังซีซานแล้ว ก่อนหน้าที่ฟู่เสี่ยวกวนจะอภิเษกสมรสเพียง 2 วัน เขาก็ได้รีบร้อนไปยังผิงหลิง กล่าวว่ามีช่างที่อยู่ตรงนั้นสร้างวัสดุแบบใหม่ขึ้นมาได้
ข้างกายของเขาจึงเหลือเพียงหลานสาวฉินรั่วเสวีย แม้แต่เหล่าบ่าวรับใช้ในเรือน หลายวันมานี้ก็ถูกเขาตัดออกไปมิน้อย แต่มิใช่เหตุผลด้านการเงิน แต่เป็นเพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาอยากจะวางไว้ที่สำนักศึกษาซีซาน จวนแห่งนี้ของเมืองจินหลิง นอกเสียจากช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้แล้ว ก็น้อยมากยิ่งนักที่จะกลับมาพักที่นี่ในวันธรรมดา
ในยามที่คนเฝ้าประตูมาแจ้งว่าคุณชายฟู่มาเยี่ยม ฉินปิ่งจงกำลังสนทนาอยู่กับฉินโม่เหวินที่ห้องอักษร ฉินโม่เหวินคือบุตรชายของฉินฮุ่ยจือ แต่เขากลับชื่นชอบที่จะไปมาหาสู่กับปู่ใหญ่อยู่เสมอ บางทีอาจจะเพราะกลิ่นน้ำหมึกของที่นี่ หรือบางทีอาจจะเพราะกลิ่นอายหนังสือจากตัวของฉินปิ่งจง
ปู่และหลานชายเดินไปเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นและโค้งคำนับเมื่อพบกับฉินปิ่งจง และกล่าวทักทายฉินโม่เหวิน จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินไปทางห้องอักษร
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบ ‘ตำราหลี่เสวีย’ ออกมาแล้วส่งให้ฉินปิ่งจง “พี่ชาย คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนไปจากตำราของเหวินสิงโจวอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเยี่ยงไรเสียข้าก็ได้อ่านเพียงคราเดียวเท่านั้น แต่ใจความสำคัญมิได้ต่างไปจากเดิม ท่านลองอ่านดูเถิด”
ดวงตาของฉินปิ่งจงทอประกายขึ้นมาทันพลัน หลังจากที่เขารับมาก็ได้พลิกหน้าตำราไปมา และหลังจากนั้นก็มิได้สนใจพวกเขาอีก
ฟู่เสี่ยวกวนมองฉินโม่เหวินและกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ต้องไปกวนซีเต้าในปีหน้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ไอหยา ! แปดเก้าแล้วเยี่ยงไรก็หนีสิบมิพ้น เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ เขากล่าวว่าถึงกวนซีเต้าจะห่างไกลไปสักเล็กน้อย แต่ก็สะดวกพอที่จะสร้างผลงานได้…” ฉินโม่เหวินรินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ย ใบหน้าหมองลงเล็กน้อย “ข้าพอจะคาดเดาได้ว่าบิดาของข้าคิดไว้เยี่ยงไร ข้าวางไว้ที่สามถึงห้าปี หากสร้างผลงานขึ้นมาได้ 1 ชิ้น แล้วย้ายกลับมายังจินหลิง โดยพื้นฐานก็จะสามารถเข้าสำนักอัครมหาเสนาบดีได้แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนลอบถอนหายใจออกมา ขันทีเจี่ยเคยนำรายงานของฝูงมดฉบับหนึ่งมาให้เขาอ่าน ในรายงานจงจับตาดูรองเสนาบดีการเมืองฉินฮุ่ยจือสำนักอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์หยูอย่างใกล้ชิด ข้ากำลังดักรอรายงานจากจินหลิงที่ส่งไปยังเขตซีหรง คนผู้นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกหยูเวิ่นชูซื้อไปแล้ว
ฉินฮุ่ยจือคือบิดาของฉินโม่เหวิน และฉินเซียงหวยคือบุตรสาวของฉินฮุ่ยจือ ทั้งยังเป็นภรรยาของต่งซิวจิ่นบุตรชายคนโตของเสนาบดีต่ง กล่าวได้ว่าฉินฮุ่ยจือคือเครือญาติของต่งคังผิง
หากฝูงมดตรวจพบถึงหลักฐานที่ฉินฮุ่ยจือและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูสมรู้ร่วมคิดกัน หากหยูเวิ่นชูเป็นแกนนำปลุกระดมให้แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตกก่อกบฏขึ้นมาอย่างแท้จริง เครือข่ายของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันนั้นค่อนข้างจะกว้างเสียทีเดียว
บางทีปัญหาของเสนาบดีต่งอาจจะมิใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ในฐานะบุตรของฉินฮุ่ยจือ ฉินโม่เหวินอาจจะเป็นอันตรายได้
มิเพียงแต่การงานอาชีพ แม้แต่ชีวิตก็น่ากังวลมากเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยินยอมให้สหายสนิทเสียชีวิตไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งเยี่ยงนี้ แต่บัดนี้มิสามารถยืนยันได้ว่าฉินฮุ่ยจือมีแผนอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอข่าวที่มั่นใจแล้วจากฝูงมดเสียก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกครา
“ดังนั้นเจ้าจึงสบายเป็นอย่างมากที่มาเป็นขุนนาง ทางก็ได้ปูเอาไว้หมดแล้ว ทั้งยังเป็นทางที่กว้างขวางอีกด้วย เจ้าเพียงดูแลเส้นทางนี้ให้ดีและก้าวเดินไปอย่างมั่นคงก็พอ ภายภาคหน้าหากประสบความสำเร็จในหน้าที่และการงานภรรยาและบุตรก็จะอยู่มิไกลแล้ว ไหนเลยจะเหมือนข้าที่เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง แหนไร้ราก มิว่าจะทำเรื่องอันใดก็ต้องพึ่งพาตนเอง”
“ไสหัวเจ้าไป… ! ” ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง “เจ้ายังคิดให้เป็นแบบใดอีกกัน ยังมิครบสิบแปดดี ก็ได้เป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ลองนับในประวัติศาสตร์ดู คิดว่ามีกี่คนกันที่อายุเท่าเจ้าแล้วสามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงเยี่ยงนี้ได้ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)