เมื่อเขาต้องเสียทองไปถึง 5,000 ตำลึง อีกทั้งยังโดนปล้นไปอีก 300,000 ตำลึง ทำให้บุตรพ่อค้าที่ดินเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนอารมณ์มิดีมากยิ่งนัก
เขายังคงเดินไปเดินมาอยู่ในพระราชวัง กระทั่งเดินมาถึงด้านนอกกรมการค้า
เขามองเข้าไปด้านในแล้วเห็นทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับหน้าที่ตน ยอดเยี่ยม ที่นี่มิมีเรื่องอันใดให้เขาต้องจัดการแล้ว
เลิกงาน กลับจวน !
เขาตั้งใจจะกลับไปคัดลอกตำราหลี่เสวียที่ยังคงค้างไว้อยู่ แล้วใช้ช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ตอนนี้ ส่งไปให้ท่านอาจารย์ฉินปิ่งจงเสีย
เขาเดินออกจากพระราชวังไป ซูเจวี๋ยยังคงตกตะลึง คิดมิถึงว่าศิษย์น้องผู้นี้จะอู้งานอีกแล้ว
ทั้งสองคนกลับไปยังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าไปยังห้องนอนแล้วหยอกเย้ากับหยูเวิ่นหวินอยู่สักพัก จึงได้รู้ว่าต่งชูหลานได้พาซูซูเข้าไปในพระราชวัง
“เมื่อวานเจ้าบอกว่าให้ไปเยี่ยมเสด็จป้ามิใช่หรือ ? ชูหลานจึงได้นำของขวัญไป และจะถามเรื่องสลัมนั่นด้วย”
“เสี่ยวโหลวเล่า ? ”
“พาซูโหรวไปยังธนาคารซื่อทง อ่า… เสี่ยวโหลวกล่าวว่าอาคารสองหลังนั้น หลังหนึ่งนามว่าหอหยูฝู อีกหลังหนึ่งนามว่าหอซื่อทง ทั้งสองอาคารนี้มีพ่อค้าจำนวนมากสนใจที่จะมาเปิดร้าน และในวันนี้พวกเขาจะเข้ามาเปิดกิจการวันแรก…เจ้าจะไปดูหน่อยหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดูแล้วก็ส่ายหน้าขึ้นทันพลัน “ช่างเถอะ ให้เสี่ยวโหลวไปจัดการก็พอแล้ว”
หยูเวิ่นหวินมองค้อนเขาไปหนึ่งที “ขี้เกียจก็จงบอกว่าขี้เกียจ จะหาข้ออ้างเพื่ออันใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา เขามิอาจควบคุมมือของตนเองได้ ทำเอาหยูเวิ่นหวินหายใจหอบเหนื่อยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “หมอหลวงกำชับไว้ว่ามิได้ หากว่า… หากว่าลูกเป็นอันใดไปจะทำเยี่ยงไร เจ้าออกไปประเดี๋ยวนี้นะ รอให้ชูหลานและเสี่ยวโหลวกลับมาปรนนิบัติเจ้าเถอะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ อารมณ์เขาดีขึ้นมามิน้อย หึ ๆ ท่านแม่ยายรังแกข้า ข้าก็จะรังแกลูกสาวท่าน !
แค้นนี้นับว่าได้เก็บดอกคืนมาบ้างแล้ว รออีกสักหน่อย ข้าจะค่อย ๆ เก็บต้นคืนมาจากลูกสาวของท่าน
เขายิ้มกริ่มแล้วเดินออกไป จากนั้นก็หยิบกระดาษพู่กันและน้ำหมึกแล้วนั่งลงที่ศาลาเถาหราน แล้วเริ่มลงมือคัดลอก “ตำราหลี่เสวีย”
จนกระทั่งยามอู่ ตำราหลี่เสวียนั้นก็ได้คัดลอกจนเสร็จแล้ว ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ได้พากันกลับมาตามลำดับ
ทำให้ศาลาเถาหรานแห่งนี้ครึกครื้นขึ้นมาทันใด
“ข้าได้ถามองค์หญิงใหญ่มาแล้ว องค์หญิงใหญ่กล่าวว่าพื้นที่สลัมนั้นมิใช่อสังหาริมทรัพย์ของราชวัง พื้นที่บ้านเรือนเหล่านั้นมีบางส่วนที่เป็นของพวกที่อาศัยอยู่เอง พวกเขาล้วนเป็นชาวจินหลิง”
“อ่า…” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้เจ้าปล่อยมันไปก่อนเถิด รอให้บุตรชายทั้งสามของหลี่จินโต้วมาถึงแล้ว ข้าจะให้พวกเขาไปจัดการ”
“เจ้าจะซื้อพื้นที่บริเวณนั้นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ต้องดูที่ราคา หากว่าราคาสูงจนเกินไป ก็คงต้องหยุดไว้ก่อน”
“เพื่อทำอันใดกัน ? ”
“พื้นที่ในเมืองจินหลิงนั้นแพงราวกับทอง อีกทั้งบัดนี้พื้นที่สลัมยังมิได้รับการบูรณะใหม่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในสลัมได้โยกย้ายไปยังหนานซาน ข้าตั้งใจจะทำให้พวกเขายินยอมตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หนานซาน หากว่าตอนนี้สามารถซื้อพื้นที่สลัมมาได้…ราวอีกสองถึงสามปีคาดว่าราคาน่าจะพุ่งสูงขึ้นมากนัก”
ต่งชูหลานเข้าใจได้ในทันที แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดเยี่ยงไรก็มิเข้าใจ ส่วนซูซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจได้เช่นกัน นางจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งลงที่ชิงช้า ปากน้อย ๆ ของนางเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเล่ห์นัก ! ”
ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมา แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นหมายความว่าการที่เจ้าก่อสร้างหนานซานใหม่ก็เพื่อพื้นที่สลัมนั้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ก็มิใช่เสียทีเดียว ข้าเข้าใจในความลำบากของพวกเขาเป็นอย่างดี และนี่คือวิธีที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ ต่อไปในภายภาคหน้าหากอุตสาหกรรมหนานซานเปิดกิจการแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานในอุตสาหกรรมต่อได้ พวกเราจะต้องสร้างโรงหมอและสำนักศึกษา เพื่อให้บุตรหลานของพวกเขาได้ร่ำเรียนหนังสือและรักษาพยาบาลโดยมิเสียค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)