ตอนที่ 477 รังแกกันเกินไปแล้ว
พวกเยียนเหลียงเจ๋อทั้งสี่คนต่างก็ชะงักค้างไปทันพลัน
ให้ตายเถอะแม้แต่ชาก็ยังมิได้ดื่ม เรื่องสำคัญก็ยังมิทันได้กล่าว ก็ส่งแขกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว และกล่าวด้วยความละอายใจอย่างยิ่งว่า “ข้าควรจะจัดโต๊ะสุราให้กับพี่เยียน แต่ 300,000 ตำลึงเชียว มันหนักเสียจนข้าหายใจแทบมิออก ทำได้เพียงเปลี่ยนวันเท่านั้น พี่เยียนโปรดให้อภัยข้าด้วย ลาก่อน เดินทางปลอดภัย ข้าขอมิไปส่งก็แล้วกัน ! ”
…..
…..
“ปึง… ! ”
ทันทีที่ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยม เยียนเหลียงเจ๋อที่อดทนมาเนิ่นนาน เขาก็ได้ทุบแก้วจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะความเดือดดาล เครื่องหน้าทั้งห้าเริ่มบิดเบี้ยวเพราะโทสะ
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ารังแกข้าเกินไปแล้ว ! ”
เปียนมู่หยูสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้ามืดครึ้มจนน่ากลัวเช่นกัน
“องค์ชาย บุรุษสิบปีล้างแค้นก็ยังมิสาย ! กระหม่อมเข้าใจถึงความโกรธในพระทัยของพระองค์ในยามนี้เป็นอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันกลับมิใช่เวลาที่จะมาบันดาลโทสะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะมิเจรจาแล้ว ! ”
“…มิเจรจาแล้วจะรายงานผลกับฝ่าบาทเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้ามิเชื่อว่าหยูเวิ่นเทียนจะกล้าลงมืออีก ! ”
“องค์ชาย หยูเวิ่นเทียนมิจำเป็นต้องลงมืออีก แค่เพียงเขาได้ครองต้าชิวไว้ และติดตั้งปืนใหญ่หงอีไว้บนกำแพงเมือง ฝ่าบาทจะต้องมิให้อภัยพระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าทำอันใดผิดเยี่ยงนั้นหรือ การสู้รบแนวหน้า ข้าเป็นคนกลางที่สั่งโยกย้าย แล้วเหตุใดเสบียงของแนวหน้าจึงล่าช้าไปกัน คิดจะเล่นงานผู้ใดย่อมหาข้ออ้างมาได้เสมอ นี่ต้องเป็นฝีมือของตาเฒ่าชั่วอย่างเหมิงฉือที่ปลุกปั่นพรรคพวกเพื่อใส่ร้ายข้าเป็นแน่ ! ”
เปียนมู่หยูเงียบไปชั่วครู่ เหมิงฉือคืออัครมหาเสนาบดีของแคว้นอี๋ ส่วนบุตรสาวเหมิงซีเหยาก็เป็นถึงเสียนกุ้ยเฟยของฝ่าบาท และก็เป็นพระมารดาขององค์ชายรองเยียนหยุนซาน
นี่คือสงครามชิงดีชิงเด่น เดิมทีราชทูตที่จะต้องมายังราชวงศ์หยูในครานี้คือเหมิงฉือ แต่เขากลับผลักดันหน้าที่นี้ให้องค์ชายรองอย่างสุดกำลัง แต่ก็เป็นตนเองและสหายร่วมงานที่ร่วมมือกันเพื่อให้องค์รัชทายาทได้รับหน้าที่นี้ตอนที่ประชุมราชวงศ์
เดิมทีคิดว่านี่คือเรื่องที่จัดการได้ง่ายดายเป็นอย่างมาก แต่คาดมิถึงว่าจะถูกฆ่ากลางทาง โดยฟู่เสี่ยวกวนที่เดิมเขาสมควรตายไปแล้ว !
“องค์ชาย สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ พวกเราทำได้เพียงเดินไปข้างหน้ามิอาจถอยได้แล้ว”
สุดท้ายเยียนเหลียงเจ๋อก็สงบลงจนได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนเรียกร้องเงินสินบนอย่างโจ่งแจ้ง หากต้องการประจบประแจงเขาในที่ของเขา เยี่ยงนั้นก็ต้องนำเงิน 300,000 ตำลึงไปมอบให้อีก”
“รอพระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เงิน 300,000 ตำลึงก้อนนี้ก็แทบจะมิมีค่าเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
เปียนหรงเอ๋อก้มหน้าหลบ และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ดูเหมือนว่าการพาเขาไปหงซิ่วจาวจะมิใช่เรื่องที่ง่ายดายแล้ว… ข้าได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีจิตใจดี ข้าเองก็หน้าตาสะสวย มิเยี่ยงนั้น… ให้ข้านำเงินก้อนนี้ไปพบเขาดีหรือไม่ เพียงเขารับปากว่าจะไปหงซิ่วจาว ข้าคิดว่าการใช้ 300,000 ตำลึงเพื่อซื้อชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน ก็คุ้มค่ามากเช่นกัน”
เปียนมู่หยูขมวดคิ้วขึ้นมาทันพลัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เกรงว่าเจ้าจะหนีเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวนมิพ้นเสียด้วยซ้ำ ! ”
เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า “เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ขององค์ชาย หรงเอ๋อมิเป็นไร… และจะมิเสียใจอย่างแน่นอน”
…..
…..
วันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว ก็ได้พาซูเจวี๋ย ทั้งยังนำทองห้าพัน ขึ้นรถม้าตรงไปยังวังหลวง
เขามิได้จะไปเข้าร่วมประชุมราชวงศ์ในตอนเช้า แต่กลับตรงไปพบขันทีเหนียนที่วังหลัง หลังจากนั้นก็ได้ตามขันทีเหนียนไปยังวังเตี๋ยอี๋
ยามที่ฮองเฮาซั่งได้เห็นทองที่เปล่งประกาย 2 กล่องใหญ่ก็ตกตะลึงไปชั่วอึดใจ “เจ้าไปปล้นที่ใดมากัน ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)