เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามคำถามนี้ออกไป ในสำนักเสนาบดีราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาเสียงดัง
ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เยี่ยนเป่ยซีหันศีรษะไปมองฉินฮุ่ยจืออย่างมีความหมายแอบแฝง
ฉินฮุ่ยจือลุกขึ้น พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ท่านฉิน ท่านรู้หรือยังว่าความรู้สึกในการถูกใส่ร้ายมันเป็นเยี่ยงไร ? ”
เขายกมือขึ้นทำท่าคารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านฉินอย่าได้นำไปใส่ใจ นี่เป็นเพียงการทดสอบที่ข้าลองดูก็เท่านั้น ท่านมิต้องกังวลเช่นนั้น อีกอย่างหนึ่ง…ต่อให้องค์ชายสี่เอื้อประโยชน์แก่ท่านบ้าง แล้วเยี่ยงไรเล่า เยี่ยงไรเสียองค์ชายสี่อยู่ที่เมืองซีหรง ก็ต้องรับรู้เรื่องราวในวันนี้อยู่ดี ท่านว่าจริงหรือไม่ ? ท่านฉิน ! ”
ฉินฮุ่ยจือหันไปกำมือขึ้นแล้วคาราวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวความเท็จ ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงหลงเชื่อ กระหม่อมและองค์ชายสี่มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน หาได้มีเรื่องมิบริสุทธิ์เยี่ยงที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวหากระหม่อมไม่”
ฮ่องเต้ลูบเครายาวของตนเอง “เสี่ยวกวนกล่าวแล้วว่า นั่นเป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจ”
ฉินฮุ่ยจือเบิกตากว้างขึ้นมาทันควัน เนื่องจากประโยคเมื่อครู่ของฝ่าบาททรงมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง
“ความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้ ! ”
“ท่านฉิน คำเอ่ยเช่นนี้ผู้ใดก็เอ่ยได้ แต่ทว่าท่ามกลางความจงรักภักดีนี้ มักแฝงไปด้วยปิศาจร้าย ให้ข้าเดาดูหรือไม่ว่าปิศาจในใจของท่านฉินคือสิ่งใด”
“ท่านฟู่ ข้าหวังว่าท่านจะประมาณตนเองบ้าง ! ในวันนี้กล่าวถึงเรื่องการฟ้องร้องท่าน ท่านอย่าได้เบี่ยงเบนหัวข้อให้ผู้อื่นคล้อยตาม ! บัดนี้ข้าขอถามท่านว่า ท่านมิเข้าออกงานตรงตามเวลาจริงหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เขามิได้ตอบคำถามของฉินฮุ่ยจือ แต่กลับถอนหายใจออกมาและกล่าวช้า ๆ ว่า “ข้ามิประสงค์ที่จะใช้คนเก่าคนแก่ ณ ที่นี้ เนื่องจากข้ามองดูแล้ว พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นเช่นเดียวกับท่านฉินทั้งสิ้น”
“ความคิดล้าหลัง มิคิดก้าวหน้า มิรู้จักการปรับเปลี่ยน ยึดมั่นแต่หลักการเดิม ๆ… ขุนนางเยี่ยงท่านฉินนี้ หากทุกอย่างสงบสุขก็มิมีปัญหา แต่เมื่อใดที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนเยี่ยงนี้จะมิกล้าหยิบมีดขึ้นต่อสู้ อีกทั้ง…หากพ่ายแพ้ก็คงจะยกธงขาวขึ้นมาอย่างง่ายดาย”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงนำคนรุ่นใหม่เหล่านั้นเข้ามาทำงาน ? เนื่องจากพวกเขาเป็นเยาวชนของราชวงศ์หยู พวกเขาดุจดั่งสุริยาที่เพิ่งขึ้นสู่ท้องนภา ! เเต่คนชราเยี่ยงท่านฉินมัวยึดติดอยู่แต่ในอดีต ส่วนเยาวชนราชวงศ์หยูพวกเขานึกถึงอนาคต ผู้ที่ยึดติดอยู่ในอดีตมักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง และรักษาสิ่งเดิม ๆ เอาไว้ แต่ว่าผู้ที่คิดถึงอนาคต เขาจะมีความหวังอยู่ภายในใจ และมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ”
“ท่านฉิน ลองคิดดูเถิดว่าท่านเป็นเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่ ? คนชรามักชอบกังวลไปกับทุกสิ่ง ขี้ขลาดและอ่อนแอ ส่วนคนหนุ่มสาวมักจะมีความสุขเนื่องจากพวกเขากล้าที่จะแหกกฎและเปลี่ยนแปลงมัน”
“ในพระราชวังนี้มีผู้ที่คิดเฉกเช่นเดียวกับท่านฉินมิน้อยเสียทีเดียว ดังนั้นข้าจึงมิคาดหวังให้พวกเขาเข้ามาทำงานในกรมการค้า เพราะหากพวกเขาทำสิ่งใดมิเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังมาเป็นหินขวางทางเช่นวันนี้ ข้านั้นคงจะมิปล่อยพวกเขาเอาไว้เป็นแน่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างคมคาย ทำเอาขุนนางที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ไร้ซึ่งวาจาที่จะโต้เถียง
ฝ่าบาททรงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ทรงนึกในใจว่าเรื่องนี้ข้าเป็นผู้ผลักดัน ดังนั้นข้าจึงยังมิใช่คนชราสินะ !
เยี่ยนเป่ยซีหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน เจ้าหมอนี่ช่างโจมตีรุนแรงยิ่ง โชคดีที่ข้านั้นเป็นผู้สนับสนุนนโยบายใหม่นี้
ต่งคังผิงและเยี่ยนฮ่าวชูสบตากัน แล้วต่างพากันคิดว่าเจ้าหมอนี่ปากร้ายมากยิ่งนัก โชคดีที่เจ้าหมอนี่เป็นลูกเขยของพวกเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)