เดือนหนึ่ง วันที่ห้า
เมืองจินหลิง หลังหิมะตกหนัก ฟ้าสีครามปลอดโปร่ง อากาศเย็นยะเยือก
ในที่สุดก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน ดื่มชาร้อนต้มสดใหม่กับซูเจวี๋ยอย่างสบายใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ภูเขาชิงหยุนไกลจากเมืองจินหลิงมากหรือไม่ ? ”
“ออกจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปทางตะวันออกแล้วเดินทางต่อราว 300 ลี้”
นับว่าไกลพอควร ฟู่เสี่ยวกวนจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินทางไปยังภูเขาชิงหยุน แล้วหันมาเอ่ยถามถึงสวี่ซินเหยียน “แม่นางผู้นั้น ต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานหรือไม่ ? ”
“ใกล้จะหายดีแล้ว”
“นาง…นางมีอาการผิดปกติอันใดหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิดแล้วตอบว่า “แม่นางผู้นั้นตื่นมานั่งสมาธิและฝึกตนทุกเช้า ปกตินางมักจะสนทนากับซูซูเสียมากกว่า แต่พออยู่คนเดียวช่างดูเงียบเหงายิ่ง เยี่ยงไรเสียนางก็เติบโตขึ้นในลัทธิจันทรา ที่เมืองจินหลิงก็ไร้ญาติขาดมิตร คงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักพัก”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เอ่ยถามนางเกี่ยวกับลัทธิจันทรา ตั้งแต่เข้าปีใหม่ยังมิได้เดินทางไปเยี่ยมนางเลยด้วยซ้ำ ประการแรก คือตนยุ่งเป็นอย่างมาก อีกประการ…เกรงว่าจิตใจของตนเองมิหนักแน่นพอ
สวี่ซินเหยียนมิเหมือนกับซูซู !
สตรีทั้งสองแม้งดงามเหมือนกัน แต่ซูซูก็อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น นางชอบกินขนมและใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเที่ยวเล่น ในสายตาของตนมองนางมิต่างจากเด็ก
แต่สวี่ซินเหยียนที่อายุยี่สิบแล้ว เรือนร่างของนางช่างยั่วยวนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาว ราวกับลูกท้อที่สุกงอมเต็มที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกลัวว่าตนจะทนไม่ไหวและเอื้อมมือไปเด็ดมาลิ้มลอง เขามิใช่นักบวช จะให้ตัดความต้องการเหล่านี้ไปได้เยี่ยงไร
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางช่างดีเสียจริง นับตั้งแต่เริ่มฝึกก็รู้สึกว่าตนมีพลังมากกว่าเดิม ราวกับกินยาบำรุงชั้นเลิศเข้าไป เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเหลือบไปมองศิษย์พี่ใหญ่ บุรุษผู้นี้ช่างมีจิตใจที่แน่วแน่เสียจริง ฝึกตนจนถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว มิรู้ว่าอดทนมาได้เยี่ยงไร
ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยตามปกติของวงน้ำชา กลิ่นอายสดชื่นของยามเช้าช่างหอมอบอวลยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับซูเจวี๋ยหนึ่งถ้วยและรินให้ตนเองด้วยหนึ่งถ้วย เขายกมันขึ้นดื่มจนหมด บัดนี้ความคิดมิได้อยู่ที่สวี่ซินเหยียน แต่กลับนึกถึงฟู่ต้ากวน
โจวถงถงพาตัวเกาเสี่ยนกลับไป ดูจากวันเดินทางแล้ว บัดนี้น่าจะถึงเมืองกวนหยุนเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าไทเฮาซีย่อมมิปรารถนาที่จะให้โจวถงถงเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัยเป็นแน่ ขันทีเจี่ยกล่าวว่าตาเฒ่าโจวถงถงผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก คนที่ไทเฮาซีส่งมาจัดการล้วนมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย
หากมิสามารถจับโจวถงถงได้ ก็มิอาจจับฟู่ต้ากวนได้เช่นกัน
ทว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว โจวถงถงควรส่งข่าวคราวมาบ้างจึงจะถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวของอู๋หลิงเอ๋อร์ เขามิเชื่อว่าแม้เเต่องค์กรเยี่ยงหอเทียนจียังมิอาจเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูได้
อู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ไทเฮาซีประกาศว่าเด็กคนนั้นคือบุตรของเขา… สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก หากมิใช่เพราะสองแคว้นนี้ห่างกันถึง 3,000 ลี้ ก็อยากจะนำทัพดาบเทวะบุกเข้าไปในเมืองกวนหยุนด้วยเช่นกัน แล้วจับนางปิศาจมาโบยเสียให้เข็ด จึงจะสามารถบรรเทาความแค้นลงได้
แต่ผู้ใดคือพ่อของเด็กในท้องของอู๋หลิงเอ๋อร์กันแน่ ?
นางได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี หากมีคนรักก็ควรเรียกตัวเข้าวังอย่างถูกต้องเปิดเผย เหตุใดจึงทำลับ ๆ ล่อ ๆ เปิดโอกาสให้นางปิศาจทำเช่นนี้ได้กัน ?
ยิ่งคิดก็มิอาจเข้าใจได้ จึงมิได้คิดถึงมันอีก
ฟู่เสี่ยวกวนวางเรื่องของอู๋หลิงเอ๋อร์ไว้ อยู่ ๆ ซูเจวี๋ยก็เอ่ยถามขึ้นมา “เมื่อมิกี่วันก่อนในจวนเยี่ยน ที่เจ้าเอ่ยถึงแคว้นอันงดงาม มีอยู่หลายจุดที่ข้ามิเข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นมีเหตุผล ดังนั้นจึงได้เขียนจดหมายส่งให้ท่านอาจารย์ฉบับหนึ่ง อาจารย์ก็ได้ตอบกลับมาฉบับหนึ่งเช่นกัน”
“ท่านว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ท่านกล่าวว่า…เส้นทางนี้แสนยาวไกล ข้าจะรอดู”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)