ตอนที่ 530 ความคิดยุ่งเหยิงของฟู่เสี่ยวกวน
แน่นอนว่าขันทีเจี่ยมิได้ตอบคำถามนั้น แต่เขากลับเหล่สายตามองมาทางฟู่เสี่ยวกวน เขามิเห็นถึงความผิดปกติในสีหน้าของชายหนุ่ม จึงได้ลอบคิดอยู่ในใจว่าองค์ชายคงจะยังเที่ยวเล่นมิพอ
เขาจึงหยิบรายงานอีกหนึ่งฉบับออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้กับฟู่เสี่ยวกวน พลางกล่าวว่า “นี่คือรายงานจากแคว้นฮวง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับรายงานนั้นมา ด้านในมีเนื้อหาว่า
“จักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง ท่าป๋าเฟิง ออกจากเมืองหลวงฮวงตูมายังทะเลทรายฮวงถิง และได้ตั้งกองสรรพาวุธขึ้นที่เขาตงเฉิงหลิ่ง และได้จัดหาช่างฝีมือนับพันคนเพื่อสร้างอาวุธที่สามารถสู้กับปืนคาบศิลาได้
การคุ้มกันที่เฉินหลิ่งค่อนข้างเข้มงวด เหล่าสายลับได้พยายามแฝงเข้าไปแต่ทว่าก็ยากมากยิ่งนัก บัดนี้ ยังมิรู้ว่าดำเนินการถึงขั้นใด
“อีกประการหนึ่ง ทหารม้าดาบสวรรค์กว่าสี่แสนนายถูกแบ่งฝึกฝนออกเป็นสี่กอง โดยมีท่าป๋าเจียนน้องชายของท่าป๋าเฟิงเป็นแม่ทัพใหญ่ กองทัพที่หนึ่งทำการฝึกฝนที่เฉินหลิ่งโดยท่าป๋าหลาน
กองทัพที่หนึ่งละทิ้งการฝึกบนหลังอาชาแล้วเปลี่ยนเป็นการฝึกภาคพื้นดิน เช่นการฝึกดาบ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิดเสียยกใหญ่ ท่าป๋าเฟิงถือเป็นคนหนึ่งที่ประมาทมิได้ ต้องหาทางทำให้พวกเขามิอาจสร้างปืนคาบศิลาขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็มิใช่ในตอนนี้
ดังนั้น เขาจึงหยิบกระดาษและแท่งถ่านขึ้นมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ จดหมายนี้มอบให้แก่เฉินป๋อผู้ฝึกทหารดาบเทวะ ในเมื่อไทเฮาซีสวรรคตแล้ว ความเป็นศัตรูของราชวงศ์อู๋ที่มีต่อราชวงศ์หยูย่อมหมดสิ้น ดังนั้นทหารดาบเทวะจึงมิมีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังฉีซานอีกต่อไป
“ให้กองกำลังดาบเทวะหันทัพกลับมายังผิงหลิง โยกย้ายทหารจำนวน 3,000 นายแทรกตัวเข้าไปในแคว้นฮวง มีจุดประสงค์เพียง 2 ข้อ หนึ่งเพื่อทำลายกรมสรรพาวุธแห่งเฉินหลิ่ง สองเพื่อทำลายความราบรื่นของการฝึกดาบสวรรค์กองที่หนึ่ง”
“จงนำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ถึงเฉินป๋อโดยเร็วที่สุด”
ขันทีเจี่ยรับมาไว้ในมือ ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอีกชั่วครู่ก่อนจะลงมือเขียนอีกหนึ่งฉบับ โดยส่งไปถึงบิดาอ้วนของตนนั่นเอง นอกจากจะเขียนแสดงความยินดีที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ยังเอ่ยขอช่างประกอบเรือจำนวน 100 คนอีกด้วย เรื่องนี้ตนเคยเขียนจดหมายถึงโจวถงถงไปแล้ว มิรู้ว่าโจวถงถงลืมไปแล้วหรือยัง
อู่ต่อเรือที่เขตเหยาคาดว่าจะสร้างเสร็จในเดือนสี่ หากถึงเวลาแล้วมิมีช่างประกอบเรือ เงินที่ลงทุนไปคงเป็นดังการโยนทิ้งลงแม่น้ำ
ขันทีเจี่ยนำจดหมายสองฉบับใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ฟู่เสี่ยวกวนจึงถอนหายใจออกมา “ท่านจงไปเถิด ข้าอยากพักผ่อนเงียบ ๆ ”
“อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าร่วมประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้เช้า”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันพลัน “การประชุมใหญ่เพิ่งถูกจัดขึ้นเมื่อสองวันก่อนเองมิใช่หรือ ? ”
“องค์ชายได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้แก่ราชวงศ์หยู แน่นอนว่าฝ่าบาทย่อมต้องประทานรางวัลพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องนี้มัน…แต่ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ
ขันทีเจี่ยจึงขอตัวลา ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่เพียงลำพังท่ามกลางทะเลสาบซวนอู่อันมืดมิดอยู่เนิ่นนาน
เรื่องของราชวงศ์อู๋นั้น ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกังวลมากยิ่งนัก
มิใช่เพราะบิดาได้เป็นจักรพรรดิ แต่เพราะเรื่องบุตรชายของอู๋หลิงเอ๋อร์ต่างหาก
ให้ตายเถอะ ! อู๋หลิงเอ๋อร์ช่างใจกล้าเสียจริง
แม้วิญญาณของเขาจะมาจากอีกโลกหนึ่ง หากจะกล่าวไปแล้ว เขามิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมอีกต่อไป และมิใช่พี่ชายของอู๋หลิงเอ๋อร์
ทว่าร่างกายนี้ยังคงมีโลหิตของตระกูลอู๋ไหลเวียนอยู่ และยังคงเป็นฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น !
ดังนั้น หากกล่าวตามหลักการณ์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ในใจของเขามิอาจจะยอมรับได้
แต่เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว โชคดีที่เด็กคนนั้นมิมีความบกพร่องทางปัญญา นับว่าโชคดียิ่ง
ทว่านับจากนี้ เขาจะมองหน้าอู๋หลิงเอ๋อร์ได้เยี่ยงไร ?
ให้มองเป็นน้องสาวหรือภรรยา ?
แน่นอนว่าเขาจะมิเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋เป็นอันขาด หากพบหน้ากันจะทำตัวเยี่ยงไรเล่า ?
อู๋หลิงเอ๋อร์อุ้มลูกชายของนาง และให้เรียกเขาว่าพ่อ…เพียงนึกถึงก็ขนลุกขนตั้งแล้ว
เห้อ…ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาอีกครา ข้านั้นมีความสามารถล้นฟ้า แต่กลับมาเสียท่าให้แก่สตรีเยี่ยงอู๋หลิงเอ๋อร์ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)