ตอนที่ 590 ชีวิตชาวบ้าน
จันทราลับ วิหกร้อง น้ำค้างพราวฟ้า
นายพรานพากันแบกสิ่งที่ตนได้มา แล้วกล่าวทักทายฟู่เสี่ยวกวนด้วยความดีใจ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลานกว้างของบ้านเว่ยฉางเจิ้งจึงสงบลง
ในใจของเว่ยหลี่ตื่นตระหนกมากยิ่งนัก นางไปจัดเก็บห้องทางตะวันออกให้เรียบร้อย อีกทั้งยังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เมื่อครุ่นคิดไปมา ในที่สุดนางก็ปูหนังจิ้งจอกลงไปอีกหนึ่งชั้น
เว่ยฉางเจิ้งกำลังก่อไฟกลางลานกว้าง กองไฟนั้นมีกระป๋องสีดำแขวนอยู่ ด้านในคือกระดูกหมีและสมุนไพรที่หามาได้จากในป่า
ด้านข้างกระป๋องดำมีโครงเหล็กตั้งอยู่ ซึ่งเสียบเนื้อหมีและเนื้อหมูป่าเอาไว้
แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ เนื่องจากแขกที่เคยมาเยือนมีตำแหน่งสูงสุดคือนายอำเภอของเมืองเปาเท่านั้น แต่คนผู้นี้เป็นถึงเจวี๋ยเย!
ในใจของเขายังมิอาจสงบนิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ หากบังเอิญทำให้เจวี๋ยเยมิพอใจขึ้นมา ก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่
เขาก้าวเดินอย่างช้า ๆ สายตาเหลือบมองไปยังโต๊ะตัวนั้นที่อยู่ภายใต้เเสงไฟ โชคดีเหลือเกิน ที่ฟู่เจวี๋ยเยและจงสือจี้กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน และดูจะมิรังเกียจที่ลานนี้เลอะเทอะ อีกทั้งยังมิรังเกียจน้ำชาที่มีรสชาติแย่ของตน
เมื่อกลิ่นเนื้อหอมโชยมา เว่ยฉางเจิ้งจึงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มานั่งรอบ ๆ กองไฟ เขาหั่นเนื้อเป็นชิ้นพอดีคำแล้วยื่นให้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างนอบน้อม
อาหารมื้อนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้กินอย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่มหนำสำราญ ทำให้เว่ยฉางเจิ้งที่หวาดกลัวคลายความกังวลลงได้เสียที
“ที่ร้านตระกูลเว่ยอยู่กันกี่คนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรียนเจวี๋ยเยขอรับ บัดนี้มีราว 1,200 คนเห็นจะได้”
“ทุกคนล้วนเป็นนายพรานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หาใช่ไม่ขอรับ หลายร้อยคนในนั้นทำอาชีพเกษตรกร”
“แต่ละบ้านมีพื้นที่เพาะปลูกกี่หมู่ ผลผลิตเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“จำนวนหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือนมีพื้นที่เพาะปลูกราวครอบครัวละหกสิบกว่าหมู่ ส่วนเรื่องผลผลิต… ดินในที่แห่งนั้นค่อนข้างแห้งแตก อีกทั้งยังอยู่ที่เชิงเขาฉินหลิง ระยะเวลาที่แสงสุริยาส่องถึงค่อนข้างน้อย สภาพอากาศค่อนข้างแย่ จึงทำให้สามารถเพาะปลูกได้เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น เมื่อหักจากภาษีแล้วที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่พอเลี้ยงปากท้อง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย ในค่ำคืนนี้เขาได้สนทนากับเว่ยฉางเจิ้งมากมายเสียทีเดียว จึงได้รู้ว่าแม้แต่ครอบครัวตระกูลเว่ยเองก็มีนับสิบครอบครัวที่อพยพไปยังว่อเฟิงเต้า
มิรู้ว่ากงซุนเซ่อ ซังเหลียง และหม่าซิงคง ที่ไปยังว่อเฟิงเต้านั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง
ตารางต่อจากนี้ จะต้องเร่งรีบกว่าเดิมอีกสักหน่อย เดือนห้า วันที่สาม จะทำการจัดสอบคัดเลือกเอินเคอ หากคัดเลือกขุนนางชั้นต่าง ๆ ได้แล้ว จะต้องรีบส่งไปยังว่อเฟิงเต้าเพื่อร่างกฎหมายโดยเร็วที่สุด
หากนับตามเวลาแล้ว หวางเอ้อก็น่าจะพาชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปถึงว่อเฟิงเต้าแล้ว เมล็ดพันธุ์ฟู่ซานต้ายก็น่าจะถูกเพาะปลูกแล้วเช่นกัน
ส่วนหวางเฉียงน่าจะพาชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปถึงผิงหลิงเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ต้นอ่อนของมันเทศคาดว่าน่าจะเพาะปลูกเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากปลูกมันเทศสักสองสามปี คาดว่าจะสามารถขยายไปทั่วทั้งแคว้นได้แล้ว ปัญหาเรื่องอาหารของราชวงศ์หยูก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
เมื่อปัญหาเรื่องอาหารถูกแก้ไขแล้ว ก็ต้องคิดต่อไปว่าราษฎรจะมั่งคั่งขึ้นได้เยี่ยงไร หากจะเข้าไปทำงานในโรงงานคงมิได้ ดังนั้นจะต้องพัฒนาชาวนารายย่อย ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เลี้ยงสัตว์ปีก และสนับสนุนให้ชาวบ้านกล้าออกมาลงทุน
อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเจาะลึกลงไปยังชุมชนก็คือการส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมตัวกันก่อตั้งอุตสาหกรรมพื้นบ้านขึ้นมา หรือว่า…จะจัดตั้งหมู่บ้านหวาซีในว่อเฟิงเต้าดี ?
แน่นอนว่าหมู่บ้านหวาซีจะต้องยึดตามทรัพยากรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นเป็นหลัก และใช้พื้นฐานนี้ผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ออกมา อีกทั้งยังสามารถมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปได้อย่างมีคุณภาพ
หนทางนี้ยังอีกยาวไกลนัก!
ค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนนอนหลับมิสนิทเท่าใดนัก ในสมองมีเรื่องต้องคิดมากมายเสียทีเดียว
เรื่องเหล่านั้นเขาได้จัดระเบียบเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว และจะต้องค่อย ๆ ทำให้สำเร็จทีละก้าว
โดยใช้ว่อเฟิงเต้าเป็นจุดทดลอง นำพาราชวงศ์หยูให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)