ตอนที่ 673 ฝังศพ
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
เมื่อหยูเวิ่นชูได้ทราบว่าขุมทรัพย์ที่วัดฟูจื่อได้หายไปจนหมดเกลี้ยง เขาก็แทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ในทันใด
เป็นไปมิได้ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมพร้อมอ้าปากค้าง “ขุมทรัพย์กองสูงเท่าภูเขาเลากาจะหายไปได้เยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเพื่อเป็นการแสดงความเห็นด้วย “ข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน… ว่าขุมทรัพย์กองเท่าภูเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้เยี่ยงไร”
หยูเวิ่นชูนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอยไปชั่วขณะแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ชะตาของข้าคงขาดสะบั้นในครานี้เป็นแน่… ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด
ถ้าสมบัติถูกค้นพบ ฮ่องเต้อาจจะมีพระเมตตาเห็นแก่ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลแล้วไว้ชีวิตเขาก็เป็นได้
แต่ทว่าตอนนี้ขุมทรัพย์มิมีอีกแล้ว เพียงแค่จินตนาการก็รับรู้ได้เลยว่าพระองค์ทรงพิโรธถึงเพียงใด และหยูเวิ่นชูก็คงจะไร้ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
“ที่ข้ามาหาองค์ชายก็เพื่ออยากสอบถามว่าท่านมิรู้จริงหรือว่าขุมทรัพย์นั้นได้หายไปแล้ว ? ”
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามแท้จริงแล้วมิจำเป็นต้องเอ่ยถามเลยด้วยซ้ำ หยูเวิ่นชูมิอาจกล่าวเท็จได้เพราะเขาอยากใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นมาเป็นตัวยืดเวลาชีวิตแก่ตนเองอยู่แล้ว
หยูเวิ่นชูมิได้ตอบคำถามนั้น ทว่าได้แต่หัวเราะเยาะตนเอง “เจ้ากับข้าต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยฝังศพข้า”
“อืม”
“ฝังที่ภูเขาหนานซาน ให้หันหน้าไปทางเรือนหนานซาน”
“เข้าใจแล้ว”
“ข้ามิรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดขโมยขุมทรัพย์นั้นไป แต่มั่นใจได้ว่าสมบัติมิมีทางอยู่ในมือของคนจากลัทธิจันทราอย่างแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใด ? ”
“เหตุผลนั้นแสนง่ายดายเพราะข้าเคยไปยังแท่นบูชามาก่อน ตอนนั้นพวกเขาต่างใช้ชีวิตอย่างขมขื่น ถ้ามิใช่เพราะพบเจอเหมืองทองที่ภูเขาหมินล่ะก็…ชีวิตของพวกเขาคงมิอาจดำเนินต่อไปได้
หากขุมทรัพย์เหล่านั้นตกอยู่ในมือของลัทธิจันทราอย่างแท้จริง พวกเขาคงมิลุกฮือขึ้นมาเยี่ยงนี้หรอกจริงหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นชูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลถึงขั้นสามารถตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ได้ ! ถ้าหากมีทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอยู่ในมือจริง ๆ ข้าคาดเดาได้ว่าพวกมันคงยึดดินแดนบริเวณซีหรงจากผู้ปกครองทั้งหมดแล้ว และคงจัดตั้งให้ซีหรงเป็นพื้นที่ที่มีความแข็งแกร่ง”
“ประชากรที่เมืองซีหรงมีมากถึงหนึ่งล้านกว่าคน ใช้ทหารของผู้ปกครองซีหรงเป็นฐาน ข้าสามารถฝึกกองทัพที่มีกำลังพลสองถึงสามแสนนายได้อย่างสบาย ๆ ภายในเวลาสามถึงห้าปี”
เขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน “หากข้ามีกองทัพ 300,000 นาย เมื่อถึงตอนนั้นข้าค่อยลุกฮือขึ้นมา แล้วเจ้าจะเอาชนะได้ง่ายดายเยี่ยงที่ผ่านมาหรือ ? ”
ต่อให้ข้าปราชัยลงที่ทางสายเก่าจินหนิว แต่ชัยชนะที่เจี้ยนหนานทั้งสองฝั่งนั้นย่อมตกอยู่ในมือของข้าอย่างแน่นอน จากนั้นถ้ายกเอาฉินหลิงเป็นเขตแล้วแบ่งแดนมาให้ข้าปกครอง…ข้าพอรับได้ แต่ทว่าเสด็จพ่อคงยอมรับมิได้
“เช่นนั้นแล้ว…” เขากางแขนออก “นี่คือโชคชะตา ! เบื้องบนเหมือนจะทนดูตราบาปต่อไปมิไหวเลยจ้องจะเอาชีวิตข้าเสีย ! ”
อาจเป็นเพราะหยูเวิ่นชูรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยงไรก็ต้องตายในวันนี้เขาจึงพูดมากเป็นพิเศษ
ฟู่เสี่ยวกวนได้สอบถามเรื่องราวบางอย่างเช่นกัน อาทิ เช่อเหมินเป็นผู้ใดกันแน่ ? และ…ภายในพระราชวังแห่งนี้ยังมีคนของลัทธิจันทราแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่
แต่ทว่าก็มิได้คำตอบใดเลย เนื่องจากหยูเวิ่นชูมิรู้คำตอบในทุกคำถาม
มินานนัก พระราชโองการของฝ่าบาทก็ได้มาถึงยังสถานที่แห่งนี้
หลังจากที่ขันทีเจี่ยอำลาตำแหน่งแล้ว เขาก็ได้ผันตัวไปเป็นคนดูแลจวนฟู่ ขันทีที่จะอยู่เคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาทตั้งแต่วันนี้สืบไปก็คือขันทีเหนียน
ขันทีเหนียนมิคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนก็มาเยือนที่นี่เช่นกัน เขาจึงยกมือขึ้นมาคำนับ “คารวะติ้งอันป๋อ”
“คารวะขันทีเหนียน”
“มิทราบว่าติ้งอันป๋อเสร็จธุระแล้วหรือยัง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน หยูเวิ่นชูจึงโพล่งออกมา “ประเดี๋ยวก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)