นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 679

สรุปบท ตอนที่ 679 หนานกงตงเซวี๋ย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 679 หนานกงตงเซวี๋ย – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 679 หนานกงตงเซวี๋ย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 679 หนานกงตงเซวี๋ย

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้อยู่แล้วว่าหนานกงตงเซวี๋ยจะเดินทางมายังจินหลิง แต่ทว่าเมื่อนางมาถึงประตูจวนเข้าจริง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกยุ่งเหยิงภายในใจอยู่มิน้อย

หญิงสาวชาวราชวงศ์อู๋ผู้ต้มชาหลี่ฮวาที่วัดหานหลิงเมื่อครานั้น เขามิได้มีความประทับใจลึกซึ้งในตัวนางสักเท่าใดนัก หากให้จำกัดความถึงนางตอนนี้ก็คงสามารถเอ่ยได้คำเดียวว่า ‘เงียบ’

สตรีที่ดูเป็นคนเงียบ ๆ ผู้นี้ นับว่างดงามมากผู้หนึ่ง เขามีโอกาสคลุกคลีกับนางเพียงแค่สองคราเท่านั้น และนางก็ดูเป็นคนมิชอบสนทนาเอาเสียเลย เปรียบดั่งผู้มีคุณธรรมสูงส่ง

นอกเหนือไปจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็มิรู้สิ่งใดที่เกี่ยวกับตัวนางอีกเลย

เมื่อปีกลาย ต่งชูหลานได้ติดตามฟู่เสี่ยวกวนไปยังเมืองกวนหยุน แน่นอนว่านางรู้จักสตรีนางนี้เป็นอย่างดีและรู้เรื่องที่ไทเฮาซีเตรียมจับคู่นางกับฟู่เสี่ยวกวนด้วย

เมื่อนางเดินทางมาถึงแล้วจริง ๆ คาดว่าสามีก็คงจะเห็นด้วยกับเรื่องการสมรสนี้

ต่งชูหลานมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นก็จูงมือเยี่ยนเสี่ยวโหลวกลับไปยังห้องของตน

“ท่านพี่ต่ง หนานกงตงเซวี๋ย…นามช่างไพเราะยิ่ง นางคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามด้วยความฉงน

ต่งชูหลานถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “จะเป็นผู้ใดไปได้อีกกัน ? เกรงว่าพวกเราอาจจะมีพี่สาวหรือน้องสาวเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ”

สีหน้าเบิกบานของเยี่ยนเสี่ยวโหลวค่อย ๆ เหือดหาย นางยู่ปากแล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า “นี่เยอะเกินไปหรือไม่ ? ”

“อย่าคิดมากเลย พวกเราเข้าวังไปดูเวิ่นหวินดีกว่า เพราะการอยู่จวนในตอนนี้ก็ดูมิค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก”

“อืม”

……

หนานกงตงเซวี๋ยและหนิงซือเหยียนยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนติ้งอันป๋อ

นางเงยหน้ามองป้ายสีทองที่สลักอยู่เบื้องบน ทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “คนผู้นี้…เป็นขุนนางก็เป็นขุนนางที่ดี นับวันตำแหน่งก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ”

หนิงซือเหยียนเลิกคิ้วขึ้น “เขาเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง” เอ่ยจบก็ถอนหายใจยาวอีกหนึ่งครา “งานแข่งขันกวีที่ราชวงศ์อู๋เมื่อปีกลาย ข้าได้คลุกคลีกับเขาที่คฤหาสน์จิ้งหู เขามิเหมือนผู้ใดอย่างแท้จริง ช่างน่าเสียดายยิ่ง เขาควรหวนคืนยังผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋ และนโยบายใหม่นั่นควรดำเนินการที่ราชวงศ์อู๋เสียด้วยซ้ำ ข้ามิเข้าใจว่าสมองของเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่”

“มิจำเป็นต้องรีบร้อนเพราะฝ่าบาททรงพระราชดำรัสมาก่อนแล้วว่ารอให้ผ่านไป 3 ปี เขาย่อมหวนคืนสู่ราชวงศ์ของเรา”

“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หนิงซือเหยียนผงะ

“พระราชดำรัสของฝ่าบาทย่อมมิใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นก็ดี หากเขากลับไปเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋เมื่อใด ข้าจะขอทำหน้าที่เป็นยามรักษาประตูให้เขาสืบไป”

จังหวะนั้นเอง ขันทีเจี่ยก็ได้เดินกลับมาพอดี เขาเงยหน้าขึ้นมองหนิงซือเหยียน “ข้าต่างหากที่จะเป็นยามรักษาประตูให้แก่เขา หนุ่มน้อยเยี่ยงเจ้าอย่าแม้แต่จะคิดเพ้อฝัน ! ”

หนิงซือเยียนหัวเราะร่าออกมาทันใด “ตาเฒ่าผู้นี้คือผู้ใดกัน ? ริอ่านมาทำตัวเยี่ยงหมาเห่าใบตองแห้ง รู้หรือไม่ว่าข้า…”

หนิงซือเหยียนเอ่ยยังมิทันจบ ร่างของขันทีเจี่ยก็ขยับเข้ามาในทันใดจนทำให้หนิงซือเหยียนผวาตื่นตกใจ เขาชักดาบออกมาจากฝักได้เพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น ฝ่ายขันทีเจี่ยก็ได้หวดฝ่ามือ ‘เปรี๊ยะ… ! ” ลงกลางศีรษะของเขาในทันใด

สีหน้าของหนิงซือเหยียนเปลี่ยนไปในทันพลัน นี่คือจอมยุทธระดับปรมาจารย์ !

“…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ? ”

ขันทีเจี่ยกลับไปที่เก้าอี้โยกตรงหน้าประตูทางเข้าแล้วเอนกายลง แหงนหน้ามองท้องนภาแจ่มใสและปุยเมฆสีขาว “ข้าคือเจี่ยหนานซิง ! ”

หนิงซือเหยียนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ล้มตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเจี่ยหนานซิง พลางเคาะหน้าผากกับพื้นแล้วเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าน้อยประพฤติตนไร้มารยาท ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ขอท่านได้โปรดให้อภัยด้วย”

“ลุกขึ้นเถิด…วรยุทธของเจ้ามิได้เรื่อง ความปลอดภัยขององค์ชายมีความเกี่ยวข้องกับราษฎรหลายร้อยล้านคนของราชวงศ์อู๋ องค์ชายจำต้องพำนักอยู่ในราชวงศ์หยูอีก 3 ปี ถ้าภายใน 3 ปีนี้เจ้ามิอาจบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้ล่ะก็… ก็ไสหัวกลับไปที่ราชวงศ์อู๋ แล้วจงไปเป็นผู้ดูแลต้นเหมยที่ภูเขาลั่วเหมยเสีย”

“เจ้ารักษาอาการป่วยไข้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนมองหนานกงตงเซวี๋ยด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

นางยกยิ้มอย่างเริงร่า “หม่อมฉันนับถือท่านสุ่ยหยุนเจียนเป็นอาจารย์ตั้งแต่ยังเยาว์ แม้หม่อมฉันจะเรียนรู้ช้า แต่ทว่าก็เรียนวิชาหมอกับท่านอาจารย์มาราว 10 ปีแล้วจึงพอมีความเข้าใจบ้างเพคะ”

สิ่งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองที่เขามีต่อนาง เพราะเดิมทีคิดว่าหลานสาวของหนานกงอี้หยู่อาจคร่ำครึด้านวิชาการหรือเชี่ยวชาญด้านการเย็บปักถักร้อยเสียอีก แต่คาดมิถึงเลยจริง ๆ ว่านางได้ร่ำเรียนศาสตร์ทางการแพทย์มา

“เจ้าได้เรียนวรยุทธกับสุ่ยหยุนเจียนด้วยหรือไม่ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยส่ายหน้าแล้วตอบด้วยความรู้สึกเสียดาย “ท่านอาจารย์บอกว่าหม่อมฉันมิเหมาะกับการร่ำเรียนวรยุทธเพคะ”

“เพราะเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เพราะหม่อมฉันมีโรคประจำตัว” หนานกงตงเซวี๋ยก้มหน้าตอบ

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปครู่หนึ่ง “ขออภัยด้วย ข้ามิควรถามมากเช่นนี้”

“นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายควรทราบเพคะ เพราะการมาเยือนในครานี้…” หนานกงตงเซวี๋ยสูดลมหายใจลึก ๆ หนึ่งคราแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างอาจหาญ “เพราะการมาครานี้หม่อมฉันต้องการทราบว่าองค์ชายรังเกียจหรือไม่ ? หากองค์ชายรังเกียจที่หม่อมฉันมีโรคประจำตัว หม่อมฉันจะได้เดินทางกลับเพคะ”

“โรคของหม่อมฉันเกิดขึ้นตอนอายุได้ 6 ขวบและทุกวันนี้ก็ล่วงเลยมาแล้ว 10 ปีเต็ม แม้แต่หมอประจำตระกูลก็จนปัญญาจะรักษา โรคนี้มีชื่อว่าโรคลักปิดลักเปิด ท่านอาจารย์บอกว่าหม่อมฉันมีบุตรยากและเกรงว่าจะมีชีวิตได้มิถึง 30 ปีเพคะ”

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามว่า “อาการของโรคนี้คือเลือดกำเดาไหลบ่อยใช่หรือไม่ ? บริเวณเหงือกมีเลือดออกบ่อย รู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แขนขาไร้เรี่ยวแรงใช่หรือไม่ ? ”

ครานี้ถึงตาหนานกงตงเซวี๋ยรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาบ้าง นางเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนด้วยความฉงน “องค์ชายทราบได้เยี่ยงไรเพคะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา สาเหตุของการเป็นโรคลักปิดลักเปิดนี้รู้ได้ง่ายดายซึ่งเป็นเพราะขาดวิตามินซี โรคนี้มักจะพบได้ในหมู่นักเดินเรือทางไกล คาดมิถึงว่าหนานกงตงเซวี๋ยจะเป็นโรคนี้เสียได้

“เพราะเจ้าเลือกทานแต่ของที่ชอบ ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)