นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 691

สรุปบท ตอนที่ 691 แบ่งแยก: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

สรุปตอน ตอนที่ 691 แบ่งแยก – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet

ตอน ตอนที่ 691 แบ่งแยก ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 691 แบ่งแยก

“ปืนใช้กันเยี่ยงนี้ เจ้ายิงต่อเถิด”

“เมื่อครู่เหมือนจะยิงมิโดนเป้าหมาย”

“…ก็พอใช้ได้ แท้ที่จริงข้ากลัวว่าเจ้าจะยิงโดนหนิงซือเหยียนเสียมากกว่า”

“…ข้าจะพยายามมิยิงให้โดนฝั่งเดียวกัน”

“กระบี่ซี่เจี้ยนของจางเพ่ยเอ๋อร์บินว่อน นางงัดทักษะการต่อสู้ทั้งหมดที่มีมาตั้งรับสลับกับโจมตีผู้บุกรุกทั้งสี่ แต่ทว่านางได้ตกอยู่ในสภาวะอันตรายอย่างยิ่ง จนทำให้ต้องถอยร่นไปกว่าห้าก้าว”

“ข้าจะช่วยเจ้าเอง ! ”

หนิงซือเหยียนพุ่งตัวเข้าไปโจมตีทางด้านขวามือ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืน ‘ปัง ปัง ปัง’ ตามมาสามนัดติด

“เจ้าลงไปช่วยด้านล่างเหมือนเดิมเถอะ”

หนิงซือเหยียนเหินร่างทะยานสู่นภา จากนั้นก็ได้เห็นจอมยุทธ์ 3 คนล้มลงกับพื้นผ่านทางหางตา

กระบี่นี้…เหมือนจะไร้ประโยชน์สิ้นดี !

คงต้องไปขอปืนสัก 2 กระบอกจากฟู่เสี่ยวกวนเสียแล้ว ข้าจะได้เป็นเฉกเช่นซูซูที่อาภรณ์ของนางนั้นมิได้เปื้อนเลือดเลยแม้แต่หยดเดียว

ช่างสุดยอดเสียจริง

มิต้องเป็นเช่นตนที่บินเหินไปมาราวกับคนโง่เขลา หากมิใช่เพราะนักรบมือสมัครเล่นผู้นั้น ข้าคงมิต้องลำบากตรากตรำถึงเพียงนี้ !

เขารุดเข้าไปท่ามกลางหยาดฝนแล้วไปร่วมต่อสู้ที่เบื้องล่าง รู้สึกว่าที่นี่จึงจะเป็นการต่อสู้วิถีชาวยุทธ์อย่างแท้จริง

เขาสังหารด้วยความรู้สึกฮึกเหิม กระบี่กวัดแกว่งไปมาท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ พรากทุกดวงวิญญาณอย่างสุดกำลัง เขาถอยหนึ่งก้าว จากนั้นก็ใช้กระบี่ฟาดฟันไปยังจอมยุทธ์อีกคนหนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองหนึ่งครา บัดนี้จางเพ่ยเอ๋อร์กำลังฟาดกระบี่สังหารจอมยุทธ์ทางขวามือที่หลงเหลือเป็นคนสุดท้าย การสู้รบบนชั้นสองจึงจบสิ้นลงอย่างง่ายดายเช่นนี้

เขาส่ายศีรษะแล้วพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยคว่า “ต่อให้หมัดมวยดีเพียงใดก็แพ้มีดทำครัวอยู่ดี”

เขาพึมพำยังมิทันสิ้นเสียง บนชั้นสองก็มีเสียงการสู้รบดังขึ้นมาอีกครา

ทันใดนั้นก็มีคนเดินออกมาจากห้องนี้อีกหนึ่งคน ขาข้างขวาของเขาก้าวมาด้านหน้าจากนั้นก็ลากขาซ้ายตามมาติด ๆ ขาขวาก้าวมาด้านหน้าอีกหนึ่งก้าวจากนั้นก็ลากขาซ้ายมาด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว…เขาเป็นคนพิการเดินขาเป๋

คนขาเป๋ผู้นี้ก้าวมาด้านหน้าสองก้าวแล้วหยุด จากนั้นก็เหยียดยืดเอวตรงแล้วจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน

หลังจากนั้นในห้องก็มีคนเดินออกมาอีก 1 คน

คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่ม บนหลังสะพายดาบที่มีปลอกผ้าสีดำห่อหุ้มเอาไว้อยู่

ชายหนุ่มผู้นี้ก้าวออกมาหนึ่งก้าวแล้วยืนอยู่ด้านหลังของคนขาเป๋

จากนั้นก็มีคนเดินออกมาอีกหนึ่งคนเป็นสตรี ในมือของนางถือขลุ่ยไม้ไผ่หนึ่งเลา

นางและชายหนุ่มยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน และสายตาของทั้งสามล้วนจดจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน

ชายขาเป๋ได้เอ่ยออกมาว่า “ติ้งอันป๋อ ชาวยุทธภพไปทำอันใดให้เจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดิน การเป็นนายน้อยเจ้าสำราญมิประเสริฐหรอกหรือ ? เหตุใดต้องก่อตั้งสำนักมือปราบหกประตูนั่นด้วย ? ”

“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ? ”

“พวกข้า…มาเอาชีวิตไอ้ลูกสุนัขเช่นเจ้าเยี่ยงไรเล่า”

ชายขาเป๋ผู้นั้นยืดกายขึ้นด้วยความโอหัง

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือข้างที่ถือกระบอกปืนขึ้นมาแล้วเอ่ยหนึ่งประโยคว่า “คำว่าไอ้งั่งช่างเหมาะกับพวกเจ้ายิ่ง”

‘ปัง… ! ’

‘เฉี้ยง… ! ’

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”

ชายขาเป๋หัวเราะร่า !

“เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า ? ของเล่นกระจอกของเจ้ามิอาจทะลุทะลวงหน้าอกเหล็กกล้าของข้าได้หรอก”

ฟู่เสี่ยวยกปืนขึ้นมาอีกหนึ่งคราแล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยค “ช่างไร้สมองอย่างแท้จริง ! ”

‘ปัง… ! ’

“ขุนนางในราชสำนักผู้ใดที่มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดได้ ท้ายที่สุดจะต้องถูกคัดออก ส่วนชาวยุทธที่ดื้อรั้นมิยอมรับความเปลี่ยนแปลง…เช่นนั้นก็ตัดศีรษะสถานเดียว”

สวี่ซินเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วจะทำให้ทุกคนเดือดดาลหรือไม่ ? ”

“สบายใจได้ ผู้ที่ร่ำเรียนวรยุทธ์เป็นผู้มีสัจจะ ชาวยุทธภพนั้นมีมากมายเหลือแสน แต่ทว่าพวกที่โง่เขลาอย่างแท้จริงมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น”

“เห็นทีกองกำลังดาบเทวะทั้งสามต้องเพิ่มกำลังพลเสียแล้ว ข้าจะถือโอกาสนี้หาลูกมือเพิ่มให้แก่ศิษย์พี่ทั้งแปด”

หนิงซือเหยียนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน องค์ชายผู้นี้มิรู้ว่าสมองคิดแบบนี้ได้เยี่ยงไร !

เขาเอาสำนักมือปราบหกประตูมาเป็นดั่งไม้กระบองแล้วทำการหวดชาวยุทธให้สยบ จากนั้นก็เอาลูกอมให้เป็นการปลอบใจอีกด้วย

ผู้ที่ยอมทำตามจะได้รับบัตรอนุญาตให้เดินทางไปทั่วทั้งปฐพีได้อย่างอิสระ มองผิวเผินพวกเขาอาจจะมิแตกต่างจากแต่ก่อน แต่ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีเชือกคล้องคออยู่เรียบร้อยแล้ว

ชื่อแซ่ของพวกเขา บ้านเกิดเมืองนอนรวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ถูกบันทึกไว้ที่สำนักมือปราบหกประตู นับแต่นี้สืบไปเมื่อใดที่พวกเขางัดดาบง้างกระบี่ออกมาก็คงมิใช่เรื่องที่สามารถทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไปแล้ว

“แท้จริงข้ามิได้ต้องการถมทั้งยุทธภพให้เรียบเพราะยังคงหลงเหลือความหมายในตัวของมันเอง วรยุทธ์คือสิ่งที่ข้ามิต้องการให้สิ้นสลายไป แต่หวังว่ามันจะรุ่งโรจน์มากยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าสูญสิ้นจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างสุดซึ้ง”

แน่นอนว่าความรุ่งโรจน์นี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบ เช่นนี้แล้วการที่สำนักเต๋าจะถูกสถาปนาเป็นศาสนาประจำราชวงศ์เพื่อสร้างแบบอย่างที่ดีให้แก่ยุทธภพทั้งหลายก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น

ชาวยุทธทั้งหลายย่อมสามารถก่อตั้งลัทธิหรือศาสนาของตนได้ แต่ทว่าต้องขึ้นทะเบียนกับทางสำนักมือปราบหกประตูเท่านั้น

นโยบายนี้จะถูกดำเนินการที่ราชวงศ์อู๋ด้วยเช่นกัน ชาวยุทธ์ที่มาจากแคว้นอื่นจำต้องปฏิบัติตามกฎนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้วรยุทธมาก่อความวุ่นวายจนเป็นเหตุให้ศีรษะของผู้คนอีกมากมายถูกตัดร่วงลงสู่พื้นธรณี”

นี่คือความกรุณาปรานีที่ออกมาจากจิตใจของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?

เข่นฆ่าเพื่อหยุดการเข่นฆ่า การกำหนดกฎเกณฑ์นี้ก็เพื่อความสงบของใต้หล้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

หนิงซือเหยียนมิค่อยเข้าใจนัก แต่ทว่าหยุนซีเหยียนกลับดำดิ่งลงสู่ห้วงภวังค์ความคิด

ติ้งอันป๋อผู้นี้ มิใช่ผู้ที่มีเมตตาดั่งภาพลักษณ์ภายนอก

การเดินหมากของเขาในครานี้เป็นการแบ่งแยกชาวยุทธ สำนักน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การเกื้อหนุนของทางราชสำนักย่อมประหัตประหารพวกที่มิยอมจำนน

เขาใช้กระบี่ของคนในยุทธภพสังหารชาวยุทธด้วยกันเอง

แม้แต่ซูเจวี๋ย…ในมือก็กำกระบี่ไว้เช่นเดียวกัน !

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)