ตอนที่ 7 ที่บ้านมีเสบียงเหลือ
กลุ่มทหารอารักขาและรถม้าหนึ่งคันออกเดินทางจากเมืองหลินเจียงในตอนย่ำรุ่ง และมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านเสี้ยชุน
ภายในรถม้านั้นมีเจ้านายและบ่าวรับใช้อยู่กัน 2 คน แน่นอนว่าเจ้านายก็คือต่งชูหลาน และบ่าวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่นางให้ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็คือเสี่ยวฉี
เสี่ยวฉีใช้มีดเล่มเล็กหั่นแอปเปิลแล้วส่งไปให้ต่งชูหลาน ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวมิค่อยเข้าใจ งานชุมนุมเหล่านักกวีแห่งหลินเจียงเมื่อวาน พ่อค้าผ้าทั้งสี่และพ่อค้าข้าวทั้งสามต่างก็มาโดยมิได้รับเชิญ… เป็นการเปิดเผยว่าจะยอมถอยอย่างเห็นได้ชัด ตามที่บ่าวมอง หากเมื่อวานคุณหนูให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ พันธมิตรพ่อค้าผ้าจะสลายตัวไปในที่สุด ราคาเยี่ยงนี้… คงคิดกันว่าจะคุยได้ตามที่ต้องการ”
ต่งชูหลานเล็มแอปเปิล แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เสี่ยวฉีของข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจริง แต่ว่า… เจ้าลองใคร่ครวญอีกครา หากเมื่อคืนวานข้าให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ ในสายตาของเหล่าจิ้งจอกเฒ่าจะคิดว่าข้ากำลังกระวนกระวายใช่หรือไม่ นอกจากนั้น เจ้าอย่าได้ลืมว่าชวูซู่เหมยบุตรีคนรองของชวูชั่งหลายของบ้านชวูจี้ก็เป็นสะใภ้ของตระกูลจาง และบุตรชายคนโตของตระกูลจางก็ได้สมรสกับบุตรฮูหยินใหญ่ของหลิวจี้ บุตรชายอนุของตระกูลหวงก็ได้สมรสกับบุตรีคนโตของพ่อค้าข้าวหยางจี้… ภายในนี้ล้วนเป็นตาข่าย ผลประโยชน์ของพ่อค้าเหล่านี้ผูกมัดกันไว้ด้วยการเกี่ยวดอง เจ้าคิดว่ามันจะแตกหักได้อย่างง่ายดายหรือ ? ”
ต่งชูหลานส่ายหน้าและเอ่ยอย่างเกียจคร้านเล็กน้อย “สองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ สิ่งที่พวกเขากระทำ เป็นเพียงสิ่งที่ต้องการให้ข้ารับรู้ถึง”
เสี่ยวฉีขมวดคิ้วนิ่ว และเอ่ยถาม “จะกล่าวว่า ที่ยอมล่าถอยให้ ความจริงแล้วพวกเขาได้มีการเจรจากันแล้วหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ไปเสียทั้งหมด ในนั้นยังคงมีสิ่งที่พวกเขากังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องการเพียงพ่อค้าผ้าและข้าวเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่เพียงนี้ หากใครได้ทานก็จะเป็นผู้ชนะ เมื่อมีผลประโยชน์มากพอ การเกี่ยวดองกัน ก็มิใช่สิ่งที่หนักแน่นเพียงพอ”
“เยี่ยงนั้นการที่พวกเราเดินทางไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนเพื่อพบตระกูลฟู่… มันมีความหมายใดเจ้าคะ”
“ประการแรกคือเพื่อปรามพวกเขา ประการที่สอง ข้ากำลังจะบอกพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามว่า หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ข้าก็จะทำการถอนฟืนใต้กระทะเสีย”
“หากตระกูลฟู่มิรับ จะเป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ”
“ย่อมรับ ตระกูลฟู่มีที่นานับหมื่นในหลินเจียง ผลผลิตของพวกเขานั้นครอบครองสัดส่วนในหลินเจียงถึง 2 ส่วน หากตระกูลฟู่เป็นพ่อค้าหลวง แค่ผลผลิตข้าวขั้นต้นของพวกเขาก็เพียงพอที่จะให้บิดาส่งไปทางใต้ได้แล้ว บางทีผลกำไรของพวกเขาอาจจะลดลงมาเล็กน้อย แต่ชื่อเสียงพ่อค้าหลวงนั้นสำคัญยิ่งกว่า ข้ามิเชื่อว่าฟู่ต้ากวนจะเป็นเพียงเจ้าของที่ดินมากมายในหลินเจียง แล้วจะไม่ดำเนินกิจการอื่นไปด้วย”
ต่งชูหลานไม่ได้กล่าวว่าได้รับจดหมายลายมือของบิดา นางค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในหลินเจียงมารู้จักกับบิดาของนางได้เยี่ยงไร
แน่นอนนี่เป็นเพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญก็คือนางต้องแสดงท่าทีออกไปให้ชัดเจน ให้พ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามแห่งในเมืองหลินเจียงเกิดความระแวง
ต่อให้ตระกูลฟู่ไม่รับ แต่ตราบใดที่ผลลัพธ์ในการเดินทางไปยังตระกูลฟู่นั้นยังคลุมเครือ ก็เพียงพอที่จะทำให้พ่อค้าข้าวทั้งสามวุ่นวายได้แล้ว
และถ้าอยากให้ตระกูลฟู่แสดงท่าทีออกมาก็ยิ่งง่ายดายนัก บุตรชายผู้โง่เขลาของเขาเคยล่วงเกินนางไว้
บุตรชายเพียงคนเดียวของฟู่ต้ากวน ตราบใดที่จับบุตรชายของเขาไว้ได้ ฟู่ต้ากวนก็ทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
ดังนั้นการเดินทางในครั้งนี้ นับตั้งแต่ที่นางเดินทางออกจากหลินเจียง นางก็ได้ชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
……
…..
หมู่บ้านเสี้ยชุน เรือนซีซาน
“นายท่าน นายท่าน”
ชุนซิ่วหยิบกระดาษสองแผ่นและปรี่เข้าไปหาฟู่ต้ากวน
“มีเรื่องอันใดกัน เหตุใดต้องลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนั้น ? ”
“คุณชาย คุณชายเจ้าค่ะ คุณชายเป็นเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ ! ”
ฟู่ต้ากวนชะงักฝีเท้าพลางตะลึงงัน เหวินฉวี่ซิง… เหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับบุตรชายของตนเลย
“นายท่านอ่านเจ้าค่ะ เมื่อคืนวานคุณชายแต่งกลอนไว้สองบท”
ใจของฟู่ต้ากวนเริ่มบีบรัด “ให้ข้าดู… ตัวอักษรนี้… กลอนสองบทนี้ บุตรชายของข้าเป็นคนแต่งขึ้นมาจริง ๆ งั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ” ชุนซิ่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อคืนวานบ่าวฝนหมึกให้คุณชาย คุณชายใช้เวลาสั้น ๆ ในการครุ่นคิด แล้วจึงแต่งกลอนขึ้นมาหนึ่งบท นามว่าบทกวีทิศใต้ ในเวลานั้น บ่าวเอง… ก็ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ ดังนั้นคุณชายจึงแต่งบทที่สองขึ้นมาทันพลัน เพียงแค่ไม่มีชื่อกลอน”
ฟู่ต้ากวนบีบกระดาษในมือพร้อมกับพลิกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อ เหมือนกับว่าในดวงตานั้นจะมีประกายของน้ำตา
“บุตรชายข้า… บุตรชายของข้า นี่มัน นี่มัน… ได้เปิดเผยพรสวรรค์ออกมาแล้ว ! ”
ในใจของชุนซิ่วเองก็ยินดีเป็นอย่างมาก “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นอีกครา
ในยุคนี้ บทกวีมีบทบาทมาก และสถานะของปัญญาชนก็สูงส่งอย่างมาก หากตระกูลใดให้กำเนิดบุตรชายที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง พวกเขาทำการค้ามาแล้วสามรุ่น มีทรัพย์สมบัติเหลือกินเหลือใช้ แต่กลับมีกลิ่นอายปัญญาชนไม่มากนัก
ไร้กลิ่นอายปัญญาชนก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ไร้ภูมิหลัง ในสายตาของคนทั่วไป พ่อค้าคือผู้ที่แสวงหาผลกำไร ตัวตนของพ่อค้านั้นต่ำต้อยนัก แม้ว่าจะร่ำรวยก็ตาม แต่ในสายตาของผู้อื่น ก็เป็นเพียงแค่ทองแดงที่ด้อยกว่าผู้อื่น
เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เผยกลิ่นอายปัญญาชน ฟู่ต้ากวนจึงทำงานให้หนักขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยวาง เพราะความจริงนั้นปรากฏให้เห็นแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ฝักใฝ่ในการศึกษาเลย
ฟู่ต้ากวนมิได้กล่าวอันใด แต่ในใจนั้นเสียใจอย่างถึงที่สุด
ไหนเลยจะคาดคิดว่าในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ชุนซิ่วจะนำเรื่องประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้มาให้เขา นี่มัน…. ฟ้ามีตาอย่างแท้จริง
“ฟ้ามีตาแล้ว! บุตรของข้า บุตรของข้า มีอนาคตแล้ว!”
“ไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนแล้วนำกระดาษทั้งสองนี้ไปใส่กรอบ ต้องเป็นช่างที่ฝีมือดีที่สุด นี่คือหลักฐานทางวรรณกรรมของบุตรชายข้า อย่าได้ประมาท”
“เจ้าคะ”
ชุนซิ่วรับสั่งและวิ่งออกไปด้วยความยินดี ฟู่ต้ากวนเดินไปเดินมาอยู่ที่ระเบียงทางเดิน จิตใจที่พลุ่งพล่านนั้นมิอาจสงบลงได้
กลับจวนไปครั้งนี้ เห็นทีจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษซะแล้ว !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)