ตอนที่ 73 น้ำหอม
เป็นวันที่สองที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงซีซาน อี้หยู่ได้พาหยู๋จงถานมายังเรือนซีซานด้วยรถม้า 5 คัน
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตรวจสอบเครื่องแก้วหลาย ๆ แบบที่ได้นำลงมาจากรถม้าส่วนหนึ่งอย่างถี่ถ้วน พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นก็เลือกมา 2 ชิ้นและให้อาจารย์หลิวร้านสุรานำไปอบบนเตาเผา หากสามารถผ่านการทดสอบด้วยอุณหภูมิสูง นั่นแสดงว่าเครื่องแก้วนั้นได้พัฒนาไปสู่ระดับใหม่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะผ่านการทดสอบด้วยอุณหภูมิสูงในห้องปฏิบัติของหยู๋จงถานมาแล้วนับร้อยกว่าครั้ง แต่เขาก็ยังคงกังวลใจ อย่างไรการทดสอบครั้งนี้ก็ใช้ต้นทุนไปมหาศาลเลยทีเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนและหยู๋จงถานกำลังดื่มชาและพูดคุยกัน หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็มองอุปกรณ์เหล่านี้จนมิอาจละสายตาไปได้
สิ่งของเหล่านี้เอามาทำการใดพวกนางและหยู๋จงถานต่างก็มิทราบเช่นเดียวกัน
“เถ้าแก่หยู๋ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งชุดเท่านั้น ต่อจากนี้หากไม่มีปัญหาต่อการทนรับอุณหภูมิสูง ก็ทำการผลิตให้ข้า 10 ชุดโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ข้ายังต้องการขวดเยี่ยงนี้อีกด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้ถ่านวาดขวดเล็ก ๆ สามแบบขึ้นมาบนกระดาษ มีกลมมีเหลี่ยมและมียาว และมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป “สิ่งนี้มิจำเป็นต้องทนต่ออุณหภูมิสูง แต่ตัวขวดนั้นต้องหนาขึ้นอีกเล็กน้อย ฐานขวดต้องหนายิ่งกว่า มีตัวอักษรซีซานนูนออกมาใต้ฐานขวด แบบละ 3,000 ชิ้น”
หยู๋จงถานจ้องมองรูปภาพเหล่านั้น ก็กล่าวยิ้ม ๆ “สิ่งนี้ง่ายดายยิ่งกว่า…” เขาเหลือบสายตามองไปยังหญิงสาวสองคนที่กำลังชื่นชมงานประดิษฐ์เหล่านั้น มิรู้ว่าพวกนางเกี่ยวข้องอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาทราบดีว่าคุณชายตระกูลฟู่ยังมิมีเรื่องหมั้นหมาย คิดว่าน่าจะเป็นญาติสนิทของตระกูลฟู่เสียมากกว่า จึงกล่าวยิ้ม ๆ “คุณชายฟู่ ท่านคงเห็นแล้วว่าพวกเรานั้นทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน ข้าคิดมาตลอดว่าอยากเชิญท่านทานอาหารด้วยกันสักมื้อ แต่ท่านมักจะมิได้อยู่ในหลินเจียง สองวันนี้ได้มีบทเพลงที่กำลังโด่งดังในหลินเจียงอยู่หนึ่งเพลงชื่อว่าทำนองเพลงสายน้ำ ว่ากันว่าผู้ที่ร้องไพเราะที่สุดนั้นคือฝานตั่วเอ๋อร์ คุณชายฟู่กลับไปถึงหลินเจียงเมื่อใด ข้าอยากจะพาท่านไปลองฟังที่หออี้หงสักครา ท่านคิดว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“มิได้ ! ”
ผู้ที่กล่าวขึ้นมานั้นคือหยูเวิ่นหวิน นางสวมผ้าคลุมไว้ ดวงตาคู่นั้นผละจากขวดและหันมาจ้องหยู๋จงถานแทน คำพูดนี้เอ่ยขึ้นมาอย่างเด็ดขาด หยู๋จงถานชะงักและหัวเราะขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ภายในหัวก็ตัดสินในทันที “เยี่ยงนั้น ก็ลืมไปเสียเถิด หากได้กลับไปยังหลินเจียง ข้าขอเชิญทุกท่านมาทานอาหารด้วยกัน ดีหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินดีใจ คนผู้นี้เป็นพ่อค้าอย่างแท้จริง ความคิดเปลี่ยนไปอย่างว่องไวมาก
“เยี่ยงนี้ย่อมได้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขมขื่น เด็กสาวผู้นี้ต้องการดูแลเขาอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เยี่ยงไรเขาก็มิได้สนใจหอนางโลมอยู่แล้ว จึงกล่าวอย่างมีความสุขว่า “เจ้าและข้าร่วมการค้ากันมานาน มิจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ เถ้าแก่หยู๋ใช้ความคิดกับการทำอุปกรณ์เหล่านี้มากมายเพียงใด ข้าเองก็รับรู้ เพียงราคาของท่านสมเหตุสมผล ข้าก็มิมีทางไปหาเจ้าอื่น ท่านเพียงช่วยข้าทำงานก็พอ”
จนกระทั่งถึงยามเย็น อาจารย์หลิวก็หยิบอุปกรณ์นั้นเดินเข้ามา “คุณชายขอรับ มิมีปัญหา”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและมองสำรวจด้วยตนเองอีกครา พยักหน้า และกล่าวว่า “ลงลายมือชื่อในสัญญาไว้จะดีกว่า แบ่งเงินเป็นสองส่วน ประเดี๋ยวไปหาพ่อบ้านจางเพื่อรับมัน นี่ก็ดึกมากแล้ว เถ้าแก่หยู๋พักที่พักของข้าดีกว่า แล้วค่อยกลับหลินเจียงพรุ่งนี้เถิด”
“เยี่ยงนั้น คงต้องขอบคุณคุณชายฟู่อย่างยิ่ง”
หยู๋จงถานไปหาพ่อบ้านจางเช่อ ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินจึงลุกขึ้นมาด้วยความอึดอัด
เมื่อครู่ที่ได้กล่าวคำว่ามิได้ออกไปทำให้นางรู้สึกเสียใจ เยี่ยงไรในยามนี้ทั้งสองคนก็มิได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน แต่เหตุที่นางกล่าวสองคำนั้นออกไปก็เพราะพี่รองของนาง พระราชบุตรเขยคนรองเอาแต่หมกตัวอยู่ที่หอนางโลมเป็นเวลานานและมิกลับบ้าน นั่นทำให้พี่รองของนางอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าและไร้ครอบครัว ดังนั้นนางจึงมิชอบหอนางโลมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากผู้ชายของตนไปที่หอนางโลม
“เรื่องนั้น… หากเจ้าอยากไป ก็ไปเถิด”
“มิมีอะไรให้น่าไป และข้าเองก็มิมีเวลา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)