ตอนที่ 72 สนทนายามค่ำคืน
อาหารหลักของมื้อค่ำนี้ก็คือปลาที่พวกเด็ก ๆ ลูกของชาวนามอบให้กับเขานั่นเอง
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมีสตรีสองนางร่วมรับประทานอาหารด้วย ทำให้ซูม่อมิได้ร่วมโต๊ะอาหาร อีกทั้งยอดฝีมือที่หยูเวิ่นหวินพามาก็มิได้ร่วมโต๊ะเช่นกัน
ดังนั้นโต๊ะหินกลางเรือนจึงมีเพียงพวกเขาแค่สามคน
“ยำปลาตะเพียนนี้ข้าทำด้วยตนเอง พวกเจ้าลองชิมรสชาติดู”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้แก่สตรีทั้งสอง แล้วเอ่ยต่อว่า “จงระวังเวลารับประทาน เนื่องจากปลานี้มีก้างค่อนข้างเยอะ”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานหาได้เคยลิ้มลองอาหารเช่นนี้มาก่อน พวกนางรู้สึกประหลาดใจยิ่งจึงได้ลองชิมดู เอ๋…รสชาติดีทีเดียว !
ห้องเครื่องในวังหลวงจะมีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน จึงไม่นำวัตถุดิบเช่นปลาตะเพียนที่จับได้ง่ายดายในแม่น้ำมาทำเป็นอาหาร ส่วนโรงครัวจวนเสนาบดีแม้ไม่ได้เข้มงวดเหมือนวังหลวง แต่ต่งชูหลานก็พิถีพิถันเรื่องการกินมากนัก นางมิเคยแตะต้องปลาตะเพียนมาก่อนอย่างแน่นอน
สตรีทั้งสองนางชื่นชอบรสชาติปลานี้จากใจจริง พวกนางดื่มสุราเทียนฉุนและตามด้วยกับแกล้มปลาตะเพียนนี้จนหมดในพริบตา
หยูเวิ่นหวินรู้สึกว่าปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปของนางมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย อาจมีเหตุผลมาจากรสชาติของอาหารเหล่านี้ดีเกินคาด เขาทำอาหารเป็นด้วยหรือนี่ !
ชายชาตรีไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องครัว สิ่งนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ แต่เขาผู้นี้มิได้นำมาใส่ใจนัก แต่เช่นนี้ก็ดีทีเดียว
การไม่ใส่ใจในเรื่องอาหารการกินบนโลกมนุษย์ ผู้นั้นมิใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพเจ้าซึ่งมีไว้เพียงชื่นชม มีแต่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้นจึงจะสามารถเอื้อมมือคว้ามาได้
“เอ่อ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า คำพูดเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ยเมื่อตอนเย็นที่ท้องนา……เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรื่องของการตีข้าวงั้นหรือ ? แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ปีหน้าเราจะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเลยเชียว”
“ตระกูลเจ้าแม้จะเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ข้ามิเคยเห็นเจ้าของที่ดินคนใดมีความรู้ด้านการเพาะปลูก เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามิรู้อะไรเสียแล้ว แท้จริงแล้วข้ามีความถนัดด้านการปลูกข้าวยิ่งนัก”
“เจ้าโกหก ! ” ต่งชูหลานมองค้อนเขา
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับชื่นชอบยิ่งนัก แววตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาคู่นั้น นอกจากฟู่เสี่ยวกวนแล้วจะมีใครเข้าใจได้อีกเล่า ?
“สำหรับเจ้าแล้ว……ระหว่างเจ้ากับชาวนา ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอีกครั้ง
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปชั่วครู่ การตอบคำถามในครั้งนี้จำเป็นต้องหนักแน่น
“ก่อนอื่นพวกเจ้าควรเข้าใจถึงเหตุผลหนึ่ง การที่พวกเราได้นั่งอยู่ที่นี่และมีข้าวกิน การที่พวกเรามีเสื้อผ้าสวยงามสวมใส่ การที่พวกเรามีสุราเลิศรสดื่ม ทั้งหมดทั้งปวงนี้ล้วนมาจากความยากลำบากของพวกเขา”
“พวกเจ้าลองไตร่ตรองดู หากชาวนามิทำนา หากคนงานมิทอผ้าหรือกลั่นสุรา เช่นนั้นพวกเราจะกินอะไรหรือสวมใส่สิ่งใดกัน ? ”
“เมิ่งจื่อกล่าวว่า ไพร่ฟ้าค่าสูงหนัก บ้านเมืองรองลงมา ราชาไร้น้ำหนักใด หมายถึงประชาชนนั้นสำคัญยิ่ง พวกเขาเป็นพื้นฐานของประเทศ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขากระทำเป็นสิ่งเล็กน้อยที่พวกเจ้าอาจจะมองข้าม แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่นัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)