สรุปเนื้อหา ตอนที่ 824 สละบัลลังก์ – นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บท ตอนที่ 824 สละบัลลังก์ ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ในหมวดนิยายทะลุมิติ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 824 สละบัลลังก์
กองทัพทหารเสมือนเมฆครึ้มที่ย่างกรายเข้าปกคลุมเมืองหลวง
เมืองไท่หลินอันเกรียงไกรพลันโกลาหลขึ้นมา ชาวเมืองรู้สึกวิตกกังวลมากยิ่งนัก
พวกเขาร้องเรียกชื่อสมาชิกในครอบครัวอยู่ตามท้องถนน จากนั้นก็พากันหลบเข้าไปในบ้านเรือน
บรรดาพ่อค้าเก็บแผงหาบเร่ เข็นรถของตนไปอ้อนวอนขอที่หลบซ่อนคุ้มภัย
ร้านรวงปิดประตูหนี บ้านเรือนปิดบานหน้าต่างสนิท… ทหารชาวอู๋ผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเริ่มเข้าใกล้เมืองไท่หลินทุกขณะ หากเมืองนี้แตก พวกมันย่อมสังหารหมู่ชาวเมืองจนสิ้นซากภายในสามวันเป็นแน่ !
เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในบรรยากาศอกสั่นขวัญแขวน
เหล่าทหารรักษาการณ์ประจำเมืองหลวงแห่งแคว้นอี๋ แม้ในมือจะถืออาวุธครบครัน ทว่าสีหน้าก็ได้เผยความหวาดผวาออกมาให้เห็น
บัดนี้องค์จักรพรรดิเยียนเหลียงเจ๋อกำลังบันดาลโทสะอยู่ในพระราชวัง
“เฟิงเสียนชูหายหัวไปที่ใด ? หรือเขาจะทรยศต่อข้าด้วยเช่นกัน ? ”
เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้แล้ว เยียนเหลียงเจ๋อก็ใจเต้นมิเป็นจังหวะ เนื่องจากบัดนี้คนเดียวที่ตนสามารถพึ่งพาได้เห็นทีจะมีเพียงแค่เฟิงเสียนชูเท่านั้น หากว่าเขาทรยศจริง…หมายความว่ากองทัพจำนวน 200,000 นายจะแว้งกัดตนเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิน่าประมาทเลย !
ข้าควรจับกุมสมาชิกในครอบครัวของเฟิงเสียนชูไว้ตั้งแต่ต้น !
“พวกเจ้าจงส่งทหารรักษาการณ์ไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ จากนั้นให้นำตัวคนในครอบครัวของเขาไปไว้ที่วังหลังให้หมด องค์จักรพรรดินีของข้าคิดถึงพวกนางเสียเหลือเกิน ! ”
ทหารรักษาการณ์รับพระบัญชาด้วยสีหน้าหวาดกลัว จากนั้นก็นำขบวนทหารรักษาการณ์หลายร้อยนายออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเพิ่งจะก้าวออกไปได้เพียงมิกี่ก้าวก็ต้องถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
พวกเขากำดาบเอาไว้ในมือแน่น ถอยร่นมาทีละก้าวทีละก้าวจนมาถึงประตูของท้องพระโรง
เยียนเหลียงเจ๋อเริ่มใจคอมิดี แม้จะมองมิเห็นว่าข้างนอกเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น แต่ในใจก็ได้เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมา
เขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังแว่วมาจากด้านนอกท้องพระโรง และนั่นคือเสียงของแม่ทัพเฟิงเสียนชู
“หลี่จ้ง ข้ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเจ้าหันอาวุธใส่ข้าเยี่ยงนี้ หรือพวกเจ้าได้ยินข่าวการมาถึงของกองทัพราชวงศ์อู๋แล้วคิดก่อกบฏขึ้นมากัน ! ”
ดาบของนายทหารที่มีนามว่าหลี่จ้งล่วงหล่นลงสู่พื้น หลังจากที่ได้รับคำตำหนิจากเฟิงเสียนชู
“หลีกไป… ! ”
หลี่จ้งกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก จ้องมองเหล่าทหารติดอาวุธหลายพันนายที่ติดตามแม่ทัพใหญ่มา พลางฉุกคิดขึ้นมาในใจว่าผู้ใดกันแน่ที่ก่อกบฏ ?
“เชิญท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ! ”
“พวกเจ้าลดดาบลง ต้อนรับท่านแม่ทัพใหญ่เข้าสู่ท้องพระโรง! ”
เมื่อเหล่าทหารได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา พวกเขาเก็บดาบเข้าฝัก ยืนคุ้มกันอยู่สองฟากฝั่งของท้องพระโรง
ทันใดนั้นดวงตาของหลี่จ้งก็เบิกโพลงขึ้นมา เขาเห็นบุรุษข้างกายของท่านแม่ทัพใหญ่…ซึ่งนั่นก็คือชินอ๋องแขนเดียว เยียนหานยวี่ !
นี่มันเกิดสถานการณ์อันใดขึ้นกันแน่ ?
ในฐานะนายทหารชั้นผู้น้อยย่อมมิรู้ตื้นลึกหนาบางเป็นธรรมดา ทว่าเขามีไหวพริบมากพอที่จะเข้าใจได้ว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่มีกำลังพลอยู่ในมือมากที่สุด การอยู่ฝั่งเดียวกับท่านย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ส่วนเรื่องที่ท่านแม่ทัพใหญ่มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทนั้น จะเป็นเพราะน้อมรับพระราชโองการให้เปิดศึกกับชาวอู๋หรือเพราะท่านแม่ทัพใหญ่มีแผนการอื่นอยู่ในหัว ย่อมมิใช่เรื่องที่เขาควรเก็บไปคิดให้หนักสมอง
บัดนี้เหล่าเสนาบดีทยอยหันมามองพลางแหวกทางเดินตรงกลางออกราว 1 จั้ง
เฟิงเสียนชูแต่งเครื่องแบบพร้อมติดอาวุธครบมือเข้ามายังท้องพระโรง !
เขานำเยียนหานยวี่ที่เดินเชิดหน้าชูคอเข้ามาภายในท้องพระโรง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเหล่าขุนนาง เขาได้คารวะต่อเยียนเหลียงเจ๋อ
“กระหม่อมเฟิงเสียนชูได้มีกินมีใช้เพราะฝ่าบาท กระหม่อมจำต้องแบ่งเบาความทุกข์กังวลใจของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อเยียนเหลียงเจ๋อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา “หากมีท่านแม่ทัพใหญ่คอยแบ่งเบาความทุกข์ของข้า เมืองไท่หลินคง…” ในจังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยว่า ‘แข็งแกร่งจนมิอาจตีให้แตกพ่ายได้’ เขาก็หันไปเห็นเยียนหานยวี่ยืนอยู่เบื้องหลังของเฟิงเสียนชูและกำลังจะก้าวเท้าออกมา !
“อึก…” เขากระอักโลหิตออกมาจากปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นอีกครา “เจ้าคนทรยศ ! ข้าอุตส่าห์เชื่อใจเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทหาร…ทหาร…จับคนทรยศไปสับให้ขาดหมื่นชิ้นประเดี๋ยวนี้… ! ”
เยียนเหลียงเจ๋อมีสภาพราวกับคนคลุ้มคลั่ง ทว่าท้ายที่สุดก็ไร้วี่แววของทหารเข้ามารับคำสั่งภายในท้องพระโรงแห่งนี้
เปียนมู่หยูหันไปคารวะต่อเยียนเหลียงเจ๋อพร้อมมุมปากที่สั่นเครือ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทสละราชบัลลังก์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“หากข้ามิยอมสละเล่า ? นี่เป็นแคว้นของข้า ! นี่เป็นแผ่นปฐพีของข้า พวกเจ้า…”
เปียนมู่หยูได้คารวะเป็นคราที่สอง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงสละราชบัลลังก์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าคนทรยศ เจ้ามิได้ตายดีเป็นแน่ ! เฟิงเสียนชู เจ้าขายชาติบ้านเมืองมีเกียรติมิต่างกับเดรัจฉาน… ! ”
เปียนมู่หยูคารวะเป็นคราที่สาม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงสละราชบัลลังก์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เหล่าเสนาบดีทั้งหลายคุกเข่าลงทันใด จากนั้นก็ร่วมส่งเสียงอ้อนวอนจนดังกึกก้องทั่วทั้งท้องพระโรง “ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงสละราชบัลลังก์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ… ! ”
เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงจนขาสั่นระริก เขานั่งลงบนบัลลังก์มังกรอีกคราด้วยสีหน้าซีดเผือด ปรากฏเหงื่อเย็นไหลท่วมกาย
“นี่ นี่คือเหล่าเสนาบดีของข้าเยี่ยงนั้นหรือ… ข้า”
เปียนมู่หยูเอ่ยขัดเขาว่า “ทูลฝ่าบาท ทหารชาวอู๋ใกล้บุกเข้าเมืองเต็มทีแล้ว เพื่อราษฎรแล้ว กระหม่อมขอให้พระองค์ได้โปรดสละราชบัลลังก์โดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เสนาบดีทุกท่านได้โปรดต้อนรับจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ! ”
ทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปลากตัวเยียนเหลียงเจ๋อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มิยอมขยับเขยื้อนออกไป พวกเขาลากอีกฝ่ายราวกับลากคอสุนัขตัวหนึ่ง โดยมิใส่ใจว่าคนผู้นี้คือสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของแคว้นอี๋
บัดนี้สีหน้าของเยียนหานยวี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาก้าวขึ้นไปบนบัลลังก์มังกร จากนั้นก็นั่งลงแทนที่เยียนเหลียงเจ๋อทันที
เขาได้กุมอำนาจสูงสุดสมดั่งใจหวัง สุดท้ายแคว้นอี๋ก็ย่างเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ได้เสียที
ยุคสมัยอันน่าอัปยศที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของแคว้นอี๋ ก็ได้สิ้นสุดลงนับจากนี้สืบไป !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)