ตอนที่ 859 ชิวเหวย
เวลาล่วงเลยมาถึงเดือนเก้า บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมืองกวนหยุนก็มีชีวิตชีวาขึ้นมามากเช่นกัน
ปีนี้จักรพรรดิเต๋อจงได้ปฏิรูปการสอบขุนนางโดยยกเลิกระบบการแนะนำที่มีมาหลายร้อยปี และใช้เคอจี่คัดเลือกผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงเข้ารับราชการ
สำหรับบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนัก
เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่ดำเนินการสอบเคอจี่อย่างเป็นทางการ สำนักศึกษาฮ่านหลินจึงขอพระราชทานจากฝ่าบาทว่าปีนี้นักเรียนที่ไร้สถานะซิ่วไฉหรือจวี่เหรินให้เข้าร่วมการสอบได้ทั้งหมด… การสอบขุนนางระดับสามในอดีตเป็นระบบที่มีรายชื่อตายตัวอยู่แล้ว ทั่วทั้งราชวงศ์อู๋จึงมีมิกี่คนเท่านั้นที่เป็นซิ่วไฉหรือจวี่เหรินโดยชอบธรรม หากมิเปิดโอกาสให้นักเรียนทั่วไปก็คงมีผู้เข้าสอบเพียงมิกี่คนเท่านั้น
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็คิดว่าสมเหตุสมผลยิ่ง ดังนั้นการสอบขุนนางด้วยวิธีนี้จึงได้รับการอนุมัติทั้งอย่างนั้น เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนกำหนดการสอบขุนนางในวันที่แปดเดือนเก้า จากนั้นก็ได้เลื่อนไปเป็นวันที่แปดเดือนสิบ
เวลาเดิมกระชั้นชิดจนเกินไป
ต้องให้เวลาเหล่าบัณฑิตและสำนักศึกษาฮ่านหลินเพิ่มอีกสักหน่อย
“ข้าคิดไว้เยี่ยงนั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนถูมือไปมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย เมื่อทราบว่าสำนักศึกษาฮ่านหลินได้รับรายชื่อผู้สมัครสอบจากทั่วสารทิศทั้งสิ้น 180,000 คน !
แทบจะทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจเสียจนอ้าปากค้าง ทำให้เขาอดที่จะนึกถึงภาพการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกในชาติที่แล้วมิได้ ช่างคล้ายคลึงกันมากยิ่งนัก
ตอนนั้นเขาอยู่ที่สนามสอบซึ่งมีการจัดสอบทั่วประเทศ ทว่าบัดนี้…เรื่องใหญ่คือมีผู้คนหลั่งไหลมายังเมืองกวนหยุนจำนวนมากแล้วจะไปหาสถานที่ขนาดใหญ่จากที่ใดมารองรับผู้เข้าสอบจำนวน 180,000 คนกัน ?
“เยี่ยงนั้นก็ไปสอบกลางแจ้ง ณ ที่ราบหลีลั่วดีหรือไม่ ? ขอให้กรมโยธาธิการรีบทำกระดานไม้ขึ้นมาและให้ทุกคนนั่งกับพื้นได้หรือไม่ ? ทำจำนวนคำถามน้อยลงเล็กน้อยเพื่อให้สอบเสร็จภายในเวลาหนึ่งวัน ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไร ? ”
เรื่องยุ่งยากนี้มิต้องเอ่ยถึงเหวินชังไห่เพราะแม้แต่จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และเมิ่งฉางผิงก็มิรู้ว่าควรจัดการเยี่ยงไร
การสอบขุนนางในอดีต เป็นการจัดสอบบังหน้าเท่านั้น มีผู้เข้าร่วมมากสุดมิเกิน 1,000 คน
บัดนี้ ทันทีที่ทำการปฏิรูปก็ได้ก่อให้เกิดผู้สมัครสอบมากถึง 180,000 คน !
ขุนนางอาวุโสทั้งสามจึงมองหน้ากันไปมา แล้วจะทำอันใดได้เล่า ?
เหวินชังไห่เป็นผู้เดียวที่ส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท บัดนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงและน้ำค้างตกหนัก ที่ราบหลีลั่วเป็นพื้นหญ้า ทั้งยังมีน้ำค้างมากถึงเพียงนั้น แล้วจะทำข้อสอบอย่างสบายใจได้เยี่ยงไร ถ้าอย่างนั้น…”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็จัดสนามสอบไว้เหนือวัดหานหลิง สถานที่ที่เคยจัดงานชุมนุมวรรณกรรมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ใช่ ! ลานจัตุรัสของสถานที่แห่งนั้นกว้างขวางและราบเรียบ “ตกลงตามนี้ ให้จัดสอบที่วัดหานหลิง แต่เวลาสอบต้องเลื่อนออกไปเล็กน้อยเพราะจากเมืองกวนหยุนไปยังวัดหานหลิงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง นอกจากนี้การแก้ปัญหาเรื่องอาหารกลางวันของผู้เข้าสอบ ข้าจำได้ว่าวัดหานหลิงมีห้องอยู่มากมายและสามารถทำเป็นโรงครัวชั่วคราวได้ อาหารสำหรับ 180,000 คน… พวกท่านลองไปสอบถามห้องเสวยเอาเอง เพราะข้าก็มิทราบเช่นกันว่าต้องเตรียมเท่าใด”
เอาเถิด คราแรกมักเป็นงานหยาบเสมอ
“อัตราการคัดออกจาก 180,000 คนต้องสูงเทียมฟ้าเป็นแน่ พรุ่งนี้ต้องติดประกาศหนึ่งเรื่องว่าผู้ตกรอบทุกคนถ้ามีทักษะและสนใจด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถไปสมัครที่สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้”
ในตอนนี้สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติขยายใหญ่กว่าที่ซีซานมากถึงสิบเท่า แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าผู้มีความสามารถยังมิเพียงพอ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในอดีตมิมีการศึกษาในด้านนี้ และชื่อเรียกสำนักวิทยาศาสตร์ที่ฟังดูสูงส่งเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงช่างฝีมือกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาอาจจะมั่นใจในฝีมือของตนเป็นอย่างมาก หรือบางทีก็มีจิตวิญญาณในการริเริ่ม ทว่าวัฒนธรรมของพวกเขามิสูงนักและยังไร้พื้นฐานด้านการเรียนรู้ที่เป็นระบบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)