ตอนที่ 915 ภูเขาและแม่น้ำแสนงดงาม
ณ ห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซีแห่งจวนเยี่ยน
คนชราย่อมกลัวความหนาวเหน็บ ดังนั้นจึงมีเตาผิงสองเตาคอยให้ความอบอุ่นในห้องหนังสือแห่งนี้
ปีนี้สภาพอากาศผิดปกติมากยิ่งนัก หากเป็นเวลานี้ของปีก่อนเมืองจินหลิงควรมีหิมะตกรอบแรกไปแล้ว ทว่าปีนี้กลับมีลมพัดและมักมีฝนตกชุก เดิมทีสภาพอากาศของวันนี้ควรมีหิมะตกแต่ก็มิตกจนถึงพลบค่ำ
สภาพอากาศมิได้ผิดปกติแค่ในจินหลิงเท่านั้น เพราะได้ข่าวว่าอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ที่อยู่ทางเหนือก็ยังมิมีหิมะตกเช่นกัน
หากรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศมิได้ ก็เกรงว่าภัยพิบัติในปีหน้าจะสร้างความสูญเสียมากยิ่งนัก
สภาพอากาศเยี่ยงนี้บ่งชี้ว่าจะเกิดภัยแล้งหรือภัยจากแมลงทำลายพืช… ไข่ของแมลงในดินมิโดนแช่แข็งตายจากการที่หิมะตก ดังนั้นมีแนวโน้มว่าจะเกิดภัยจากแมลงบุกทำลายพืชในปีหน้าสูงมากยิ่งนัก
หากยังดำรงอยู่ในตำแหน่งเช่นเก่าก่อน เยี่ยนเป่ยซีคงเป็นกังวลเรื่องผลกระทบของพืชไร่ในปีหน้า
ทว่าบัดนี้เยี่ยนเป่ยซีมิได้ตระหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
เขาเขียนหนึ่งประโยคลงบนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมิได้สนใจบุตรชายทั้งสอง
สิ่งที่เขาเขียนคือบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยประพันธ์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งมีชื่อว่า ‘เหมยหนึ่งกิ่งในวันไหว้พระจันทร์เดือนอ้าย’ เนื่องจากใกล้ถึงปีใหม่แล้ว เขาจึงนึกถึงบทกวีเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์บทนี้ขึ้นมา !
…ข้าใคร่ขี่ลมขึ้นทูลถามองค์ทวยเทพ
ทว่าทางสวรรค์ช่างทรหด
ส่งข้อความก็มิอาจถึง
มีเพียงแสงเทียนโชติช่วงส่องสว่างในงานเลี้ยง
ให้เราได้ร่วมขับร้องจนจบ
ให้เราได้ดื่มหมดจอกอย่างสบายใจ
จากนั้นเขาก็วางพู่กันลงแล้วเช็ดมือที่เปื้อนน้ำหมึก ดูเหมือนจะพอใจกับประโยคที่เขียนลงไปมิน้อย พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าชายชรา
“เสี่ยวกวนช่างประพันธ์บทกวีได้ดีเสียจริง มีเพียงแสงเทียนโชติช่วงส่องสว่างในงานเลี้ยง ให้เราได้ร่วมขับร้องจนจบ ให้เราได้ดื่มหมดจอกอย่างสบายใจ…”
เขาเดินไปนั่งข้างเตาผิง จากนั้นก็เอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่า “ บทกวีเหมยหนึ่งกิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคำว่าสงบ ในเวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ทว่าเขากลับเข้าใจความสงบแล้ว…”
เยี่ยนเป่ยซีหันไปมองบุตรชายทั้งสองคนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วพวกเจ้าเล่า ? พวกเจ้าใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนทางแล้ว ยังมิเข้าใจคำว่าสงบอีกหรือ ! ”
เยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชูคอตกทันพลัน เยี่ยนเป่ยซีลูบเครายาวจากนั้นก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ต่งคังผิงได้เกษียณและปล่อยวางแล้ว บัดนี้พวกเจ้าก็ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเสีย จากนั้นก็รอฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า จงจำเอาไว้ว่าต้องเผชิญหน้าอย่างสำรวม”
“จะมีอันใดแย่ไปกว่านี้อีกหรือขอรับ ? ก็แค่ลาออกจากตำแหน่งขุนนางเท่านั้นมิใช่หรือ ? การได้เป็นอัครมหาเสนาบดีถึงสามรุ่นก็เป็นจริงแล้ว นี่คือจุดจบที่ดีต่อทุกฝ่าย แล้วเหตุใดต้องกระวนกระวายใจด้วยเล่าขอรับ ? ”
“พวกเจ้ามิกังวลว่าฝ่าบาทจะแก้แค้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ครานี้พวกเจ้าทำถูกแล้ว เพราะถึงเวลาที่ตระกูลเยี่ยนควรออกจากศูนย์กลางอำนาจเสียที แต่ข้าเกรงว่าฝ่าบาทคงมิยินยอมให้พวกเจ้าไปจากราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน เยี่ยงนั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่เพราะราชวงศ์หยูมีภูเขาแม่น้ำที่งดงามและอุดมสมบูรณ์ พวกเจ้าเคยพบเห็นหรือไม่ ? ”
“แม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันเคยปลูกพืชในเขตหนานหลิงตั้งหลายปีมิใช่หรือ ? หลังจากที่พวกเจ้าลาออกแล้ว ก็สามารถไปซื้อที่ดินนอกเมืองจินหลิงแล้วปลูกพืชไร่ได้”
เยี่ยนซือเต้าเงยหน้าขึ้นมองบิดา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ลูกสังหรณ์ใจว่าฝ่าบาทจะยกทัพไป…”
“หยุดคิดได้แล้ว มิว่าเบื้องหลังจะบาดหมางกันเพียงใด ทว่าเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ ซือเต้าเอ๋ย เจ้าต้องเรียนรู้จากต่งคังผิงให้มากเพราะข้ารับประกันเลยว่า ต่งคังผิงจะเกษียณอย่างใสสะอาดและเขาจะมิสนทนาเรื่องการเมืองกับผู้ใดอีก ! ”
เยี่ยนซือเต้าตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “ลูกทราบแล้วขอรับ”
“หลังจากนี้พวกเจ้าอยากทำอันใดก็ไปทำเสีย มิว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวทั่วทั้งราชวงศ์หยูหรือทำการเกษตร แต่จงจำเอาไว้ว่าอย่าเอ่ยถามหรือเอ่ยถึงเรื่องการเมืองเป็นอันขาด แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)