ตอนที่ 927 อิทธิพลกว้างไกล
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สามบังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มิมีผู้ใดคาดถึง
ในวันที่ห้าของเดือนหนึ่ง หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เมืองกวนหยุนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ทว่าผู้คนในเมืองกลับมิรู้สึกถึงความหนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากได้รับความอบอุ่นจากอาภรณ์ที่สวมใส่ซึ่งเป็นเสื้อผ้าฝ้ายใหม่เอี่ยม เช่นนี้จะหนาวได้เยี่ยงไร ?
บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองกวนหยุนชั้นนอก มีอาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ตั้งอยู่ โดยมีป้ายตัวอักษรแขวนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าลานว่า…บ้านพักคนชราแห่งเมืองกวนหยุน
แม้ว่าชื่อนี้จะมิค่อยสวยงามเท่าใดนัก ทว่าสำหรับคนชราที่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราแห่งนี้ คิดว่ามันเป็นชื่อที่งดงามที่สุดในผืนปฐพีนี้แล้ว
นับตั้งแต่ชื่อสถานที่ถูกนำมาแขวนไว้ที่ประตู พวกเขาก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ภายใต้การจัดการของส่วนราชการ
พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าบนผืนปฐพีที่เย็นชาแห่งนี้ ยังมีสถานที่ที่ทำให้อุ่นใจอยู่
ผู้สูงอายุที่พลัดถิ่นบ้าง ถูกทอดทิ้งบ้าง จำนวน 1,200 คนอาศัยอยู่ที่นี่ โดยห้องพักหนึ่งห้องมีคนอาศัยอยู่ 4 คนซึ่งเป็นห้องที่มีพื้นที่กว้างขวาง ผนังห้องสร้างจากปูนซีเมนต์
มีเตาผิงคอยให้ความอบอุ่นอยู่ 2 เตาสำหรับทุกห้องที่มีผู้อาศัยอยู่
เตียง ผ้าห่มเนื้อแน่นและถ้วยชามใหม่เอี่ยม หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ปลิวไสวอยู่นอกหน้าต่าง ส่องประกายแวววาวยามต้องแสงสุริยา
หิมะที่ตกลงมาล้วนเป็นสีขาว เหตุใดในอดีตถึงรู้สึกว่าหิมะเป็นสีเทาได้เล่า ?
ในห้องหมายเลขสี่ศูนย์สี่มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่… ซึ่งนั่นก็คือสองปู่หลาน ตัวหลานอายุราว 6 ปีและควรอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทว่าเขามิใช่เด็กกำพร้าเพราะเขายังมีท่านปู่ผู้พิการอยู่
ดังนั้นภายใต้การบัญชาจากฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองจึงได้อยู่ที่นี่ด้วยกัน
วันปีใหม่จึงได้ฉลองกันที่นี่ โต๊ะ 1 ตัวจะมีคนนั่งล้อมรอบ 10 คน มีอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่บนโต๊ะมากถึง 12 ชนิด !
ชายชราที่มีนามว่าจางจี้สามารถจดจำมื้ออาหารนั้นได้เสมอ เพราะมันมีรสชาติดีมากยิ่งนัก และเป็นอาหารที่วิเศษที่สุดในใต้หล้า !
ในยามราตรี ยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการมามอบของขวัญ ทั้งยังนำของว่างกับผลไม้มาฝากพวกเขาอีกด้วย
ในค่ำคืนนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งเดินทางมายังบ้านพักคนชราแห่งนี้ เขามีฮูหยินมากถึง 10 คน !
ครอบครัวของคุณชายท่านนี้คงมีธุรกิจใหญ่โต
ในห้องโถงใหญ่ คุณชายที่นั่งสนทนากับพวกเขามักเอ่ยถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ท่าทางของเขามิเหมือนชายหนุ่มผู้ด้อยประสบการณ์เลยสักนิด
คุณชายท่านนั้นเอ่ยว่าชีวิตและความเป็นอยู่ในวันข้างหน้าของพวกเขาจะมีแต่ความสบายใจ จะมีคนคอยทำอาหารและซักเสื้อผ้าให้ หากป่วยไข้มิสบายก็จะมีหมอเฉพาะทางมาคอยรักษา สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือ…พักผ่อนในยามชราให้สบายใจ
คุณชายท่านนั้นช่างมีเมตตามากยิ่งนัก !
จากนั้นคุณชายท่านนั้นก็จับมือจางเหลียงหลานชายของตน เขาเอ่ยว่าในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า จางเหลียงต้องไปเรียนที่สำนักศึกษา ซึ่งมันตั้งอยู่ข้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทว่ามิได้ชื่อสำนักศึกษาเด็กกำพร้า แต่มันมีชื่อว่า…โรงเรียนประถมซีว่าง !
หลานข้าจะได้ศึกษาตำรา โดยมิต้องใช้เงินแม้แต่อีแปะเดียว !
จางจี้แทบจะลงไปกราบขอบคุณคุณชายท่านนั้นแล้วด้วยซ้ำ เพราะมิรู้ว่าควรแสดงความตื่นเต้นและความซาบซึ้งใจที่เอ่อล้นอยู่ในอกออกมาได้เยี่ยงไร เขารู้เพียงแค่ว่าต้องลงไปคุกเข่าขอบคุณ
ทว่าคุณชายท่านนั้นห้ามไว้โดยเอ่ยว่า…มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน แต่ก็มิอาจทำให้เท่าเทียมกันได้ เขาแค่หวังว่าความอยุติธรรมนี้จะจางหายไปบ้าง และหวังว่าเด็กเยี่ยงจางเหลียงจะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและเติบใหญ่อย่างมีคุณภาพ ให้สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นด้วยความยุติธรรม แม้ว่ามนุษย์มีนิ้วมือข้างละห้านิ้ว แต่ระดับความรู้ที่ลึกซึ้งของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน
เขาหวังว่าจางเหลียงจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและกลายเป็นเสาหลักของราชอาณาจักรในท้ายที่สุด !
ความหมายของประโยคนี้มิได้เข้าใจยากเลยสักนิด ดังนั้นคนชราเหล่านี้จึงเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สำหรับเสาหลักของราชอาณาจักรนั้น… จางจี้มิเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนและมิกล้าคิดด้วย เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาขอเพียงได้รับข้าวเปล่าร้อน ๆ หรือซาลาเปาจากผู้อื่นเพื่อให้หลานชายได้มีชีวิตรอดเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว… นี่คือสิ่งที่เขาคิดในทุก ๆ วัน
ภายใต้แสงไฟ จางเหลียงกำลังอ่านตำรา ใบหน้าของจางจี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเบนสายตาไปมองหลานชายแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “จางเหลียงเอ๋ย”
จางเหลียงเงยหน้าขึ้น มองไปทางปู่ด้วยแววตาฉงน “ขอรับท่านปู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)