ตอนที่ 931 มิพบกันนาน
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่สิบแปด เดือนหนึ่ง
บรรยากาศของเทศกาลหยวนเซียวในเมืองกวนหยุนยังคงดำเนินอยู่ ทว่าในแคว้นฝานค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ มิได้เฉลิมฉลองกันแล้ว
เสียงระฆังที่ดังก้องกังวานแจ้งเวลาพลบค่ำในวัดป๋ายหม่าถือเป็นขนบธรรมเนียมที่มีมานานนับพันปีในเมืองฉางจิน เพื่อแจ้งต่อราษฎรว่าถึงเวลากลับเรือนหรือแม้แต่นกที่อยู่นอกเมืองฉางจินก็รู้ว่าถึงเวลากลับรังนอนแล้ว
สวี่หยุนชิงมาถึงวัดป๋ายหม่าแห่งนี้ในขณะที่เสียงระฆังดังในยามเย็น นางมิได้มาที่นี่เพราะมาขอพักค้างแรมแต่อย่างใด ทว่านางมาพบใครบางคนที่มิกล้าพบนาง
เดิมทีควรเป็นคนที่ตายไปแล้ว
นางยืนอยู่หน้าประตูบานที่เปิดอยู่ของวัดป๋ายหม่า ที่ประตูมีต้นสนเก่าแก่อยู่หนึ่งต้นและมีเจดีย์สีเทาหลบอยู่ด้านหลังต้นสนเก่าแก่นี้
นางมองไปรอบ ๆ พบว่าบนพื้นธรณีเต็มไปด้วยหินอ่อนสีขาว มีสระน้ำขนาดใหญ่ มีกำแพงสีแดงสูงล้อมรอบวัดแห่งนี้เอาไว้
ประตูได้แกะสลักซั่งเหลียนเอาไว้ทั้งสองด้าน
‘การสั่งสอนมีนับหมื่นวิธี มิมีสิ่งใดพิเศษ มิควรยึดมั่น มิใช่ธรรมและมิใช่อธรรม
รากฐานในพระพุทธศาสนามีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงเกิดเป็นหีนยาน ปัจเจกพุทธยานและวัชรยาน”
ส่วนแนวขวางเขียนเอาไว้ว่า ‘หมื่นพุทธธรรมกลับคืนสู่หนึ่งเดียว ! ’
สวี่หยุนชิงยกยิ้มขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ… นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนบุตรชายของนางได้ประพันธ์เอาไว้ในงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋ในตอนนั้น มันถูกแกะสลักไว้ที่ประตูของวัดที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นฝาน
นี่ถือเป็นเกียรติและชื่อเสียงของบุตรชาย ในฐานะมารดาจึงภาคภูมิใจมากยิ่งนัก
อยู่ ๆ ก็คิดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา หลังจากจบเรื่องนี้ก็ถึงเวลาไปพบเขาที่ราชวงศ์อู๋เสียที
เจ้าเด็กคนนี้เก่งกว่าบิดาของเขาเสียอีก ใช้เวลาเพียงสองปีก็สามารถบริหารราชวงศ์อู๋ที่นับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองให้เป็นระบบระเบียบได้
ภรรยาทั้งสิบของเขาก็เป็นคนดี บัดนี้มีบุตรถึง 9 คน ถือว่านางมีหลานถึง 9 คนแล้วเช่นกัน เรื่องที่จะให้ดูแลหลาน นางมิค่อยถนัดแต่ก็สามารถเรียนรู้ได้
ในเมื่อชายอ้วนสามารถดูแลได้ ตัวนางก็ต้องดูแลได้เช่นกัน มิแน่อาจจะดูแลได้ดีกว่าชายอ้วนด้วยซ้ำ
ทว่าผู้ที่อยู่ด้านในกลับเลือกออกบวช…เขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่ ?
ยามที่เสียงระฆังจางหายไป นางก็ได้ละทิ้งสิ่งที่คิดแล้วเดินเข้าไปด้านใน อยู่ ๆ ก็หยุดเดินและยืนอยู่ที่ประตูเพราะนางได้ยินเสียงระฆังดังก้องขึ้นมาอีกครา
‘ตง… ! ’
คล้ายว่าเสียงนั้นกระทบจิตใจของนางจึงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันใด เห็นมีคนสองคนที่คุ้นเคยเดินตรงเข้ามา… ซึ่งพวกเขาก็คือฝานจื่อกุยจักรพรรดิแห่งแคว้นฝานและจักรพรรดินีฮุ่ย
“มิได้พบกันตั้งนาน ! ” ฝานจื่อกุยเอ่ยทัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า !
สวี่หยุนชิงขมวดคิ้วมุ่น พลางหันไปมองจักรพรรดินีฮุ่ย จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฎอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
“มิพบกันเสียนาน…เขาอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฝานจื่อกุยผายมือออก แล้วเอ่ยว่า “เชิญด้านใน ! ”
ฝานจื่อกุยเดินนำไปข้างหน้าส่วนจักรพรรดินีฮุ่ยและสวี่หยุนชิงเดินเคียงข้างกัน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เกรงว่าเจ้าคงยังมิทราบ ปีนั้นเกิดหิมะถล่มลงมาอย่างหนัก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งการเดินทางที่ล่าช้าจากราชวงศ์อู๋ก็ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาแย่ลงไปอีก ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ได้รับการรักษาจากหัวหน้านิกายทว่าอาการของเขามิดีขึ้นเลย”
สีหน้าของสวี่หยุนชิงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด รู้สึกเป็นกังวลจึงหันไปเอ่ยกับจักรพรรดินีฮุ่ยว่า “ตอนที่ข้ามาเยี่ยมท่านหัวหน้านิกายตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาก็อาการหนักมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม…ในตอนนั้นเขาอาการหนักมากยิ่งนัก”
“เหตุใดท่านหัวหน้านิกายถึงมิเคยบอกเรื่องนี้กับข้าเลย ! ”
ประโยคที่เอ่ยออกมานั้นดังจนเกินไป จนทำให้วัดที่เงียบสงบแห่งนี้ ถูกทำลายความเงียบลงและนกหลายตัวที่อาศัยอยู่ในป่าก็ได้แตกรังบินหนีไปคนละทิศละทาง
“หยุนชิง ข้ามิทราบว่าเพราะเหตุใดหัวหน้านิกายถึงมิบอกเรื่องนี้กับเจ้า คาดว่าเขาคงกำชับมิให้หัวหน้านิกายบอกเจ้าเอง”
จากนั้นจักรพรรดินีฮุ่ยก็หันไปมองสวี่หยุนชิง “พวกเจ้า…เกิดความขัดแย้งอันใดต่อกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…พวกเรามิได้ขัดแย้งอันใดกันหรอก”
จักรพรรดินีฮุ่ยละสายตากลับไป สวี่หยุนชิงสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ามาช้าเกินไปหรือไม่ ? ”
จักรพรรดินีฮุ่ยพยักหน้า “มาช้าไปเพียงก้าวเดียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)