ตอนที่ 933 บุปผาในงานศพ
มีฝนตกในจินหลิงซึ่งเป็นปรากฏการฝนตกต่อเนื่องในฤดูหนาว
บรรยากาศของวังหลังช่างว่างเปล่าและเงียบเหงายิ่งนัก
องค์พระเจ้าหลวงเสด็จออกไปเนิ่นนานแล้ว ตรัสว่าจะไปผ่อนคลายอารมณ์ เนื่องจากพื้นที่ราชวงศ์หยูแสนกว้างใหญ่และมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์จึงประสงค์ออกประพาสโดยรอบ
ฮ่องเต้ก็จากไปแล้วเช่นกัน ตรัสว่าจะออกประพาสทั่วราชอาณาจักรเพื่อสังเกตการณ์แล้วกำหนดนโยบายให้เหมาะสมตามสภาพท้องถิ่น เพื่อหาวิธีปกครองรูปแบบใหม่
ไทเฮาซั่งคิดว่าเยี่ยนชิงอีลูกสะใภ้ของนางจะเหงา ดังนั้นนางจึงเสด็จไปยังพระราชวังของฮองเฮา ทว่าสิ่งที่มิคาดคิดก็คือนางกำนัลทูลว่าฮองเฮาเสด็จไปเยี่ยมพระญาติ
นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ซึ่งจวนเยี่ยนก็ยังอยู่ในจินหลิง ถือเป็นการดีหากอีกฝ่ายไปพักผ่อนที่นั่นบ้าง
จากนั้นไทเฮาซั่งจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์หญิงใหญ่ ทว่านางกำนัลขององค์หญิงใหญ่กลับทูลว่าอีกฝ่ายเสด็จไปยังธนาคารซื่อทง
หรือหุ้นที่อยู่ในมือของหยูซูหรงยังขายมิหมดกัน ?
ตั้งแต่หยูเวิ่นเต้าขึ้นครองบัลลังก์ ไทเฮาซั่งก็มิได้ดูแลเรื่องการเงินอีกเลย นางจึงมิรู้ว่าหุ้นของธนาคารซื่อทงทั้งสามหุ้นในตอนนี้อยู่ในสภาพวุ่นวายมากเพียงใด
นางพบว่าตนมิมีสถานที่ให้ไปเลยในวังหลวงแห่งนี้ นางจึงกลับไปยังวังเตี๋ยอี๋และเดินไปที่ด้านหลังสวนดอกไม้ พลางคิดไปว่าดอกเบญจมาศในปีนี้มิสวยเอาเสียเลย เป็นเพราะหิมะตกน้อยและฝนตกมากเกินไปหน่อย
นางยังเดินไปมิถึงป้านเยี่ยนซวนเลยด้วยซ้ำ ทว่าพลันได้ยินเสียงกู่ฉินดังขึ้นมา
นางหยุดฝีเท้าลงแล้วยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้สายฝนในฤดูหนาวที่ตกลงมาอย่างมิขาดสายกระทบกับใบหน้าขาวสะอาดของนาง
นางขมวดคิ้วแล้วตั้งใจฟัง จากนั้นก็มีเสียงขับร้องดังขึ้น…เพลงนี้มีชื่อว่า ‘บุปผาในงานศพ’ !
“กลีบบุปผาลอยล่องเต็มนภา สีซีดจางหมดสวยสิ้นกลิ่นหอมไซร้ใครนำพา
ละอองเกสรกระจายทั่วศาลากลางวสันตฤดู ดอกฝ้ายลอยติดผืนผ้าม่าน
บุตรีน่าถนอมเฝ้าชื่นชมยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิ ด้วยความโศกเปี่ยมล้นใจยามขาดที่พำนัก
สองมือกอบโกยบุปผา ขุดหลุม แขวนม่านงาม…
……
เมื่อสิ้นสุดวสันต์มิว่าดอกไม้หรือความงามมนุษย์ก็ร่วงโรย บุปผาร่วงคนก็ลาลับ ! ”
ซั่งรั่วซุ่ยยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน นิ่งฟังบทเพลงบุปผาในงานศพนี้จนจบ
นางรู้จักบทเพลงนี้ ทว่าจนถึงบัดนี้นางก็ยังมิรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ขับร้อง !
จากนั้นซั่งรั่วซุ่ยก็เดินไปตามเสียงบรรเลงกู่ฉินจนมาถึงป้านเยี่ยนซวน นางเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน พบว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ในนั้น คนหนึ่งกำลังเล่นกู่ฉิน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังดื่มสุรา
“เจ้ายังมิตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ! ”
นิ้วของหูฉินหยุดอยู่ที่สายฉิน เสียงบรรเลงดนตรีก็พลันหยุดลงทันที
“เกือบตายแล้วเช่นกัน ทว่าหงเฉิน1 ยังมีความอาลัยอาวรณ์มากยิ่งนัก จึงกลับมามีชีวิตอีกครา เชิญนั่งเถิด ! ”
“ที่นี่คือบ้านของข้า”
“ข้ารู้…ข้ามิได้เชิญเจ้านั่งทว่าเป็นเขาต่างหาก ! ”
หูฉินชี้ไปยังจี้หยุนกุยที่กำลังดื่มสุรา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพซั่งรั่วซุ่ย “ถวายพระพรไทเฮาซั่ง ! ”
ซั่งรั่วซุ่ยหรี่ตาลง “มิใช่ว่าเจ้าสืบหาตัวสวี่หยุนชิงอยู่หรอกหรือ ? มิได้ติดตามฟู่เสี่ยวกวนไปหรือเยี่ยงไร ? เหตุใดเจ้าถึงกลับมาที่นี่กัน ? ”
“ทูลไทเฮา กระหม่อมได้รับมอบหมายจากคุณหนูให้มาเชิญไทเฮาไปยังราชวงศ์อู๋พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อซั่งรั่วซุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เนื่องจากคุณหนูที่จี้หยุนกุยเอ่ยถึงมีเพียงผู้เดียวซึ่งนั่นก็คือ…สวี่หยุนชิง !
“นางยังมิตายจริงหรือ ? ”
“ทูลไทเฮา คุณหนูเกือบสิ้นใจในตอนนั้น ทว่าหงเฉินยังมีความอาลัยอาวรณ์มากยิ่งนัก จึงกลับมามีชีวิตอีกครา แต่บัดนี้กระหม่อมกังวลว่าคุณหนูจะสิ้นลมจริง ๆ เสียแล้ว”
เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนและซั่งรั่วซุ่ยได้ยินอย่างชัดเจน “นางจะตายหรือมิตายนั้นเกี่ยวอันใดกับข้ากัน ? ”
“มิเกี่ยวหรอก เดิมทีกระหม่อมต้องไปช่วยคุณหนู ทว่าคุณหนูสั่งให้กระหม่อมมาช่วยไทเฮา…กระหม่อมจึงต้องมาช่วยไทเฮาให้ออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไปช่วยคุณหนูพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดนางต้องให้เจ้ามาช่วยข้าด้วยกัน ? ”
“…เพราะบุตรชายและสามีของพระองค์ล้วนทราบเรื่องที่พระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อู๋”
ซั่งรั่วซุ่ยเดินถอยหลังไปสามก้าว ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันใด “เจ้ากล่าวเท็จ ! ”
จี้หยุนกุยทำความเคารพอีกครา “ทูลไทเฮา เวลาของกระหม่อมมีค่ามากยิ่งนัก เหตุใดจะต้องกล่าวเท็จด้วยเล่า ความหมายของคุณหนูก็คือ…หากพระองค์ยังอยู่ที่นี่ก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย และจักรพรรดิอู๋ก็เป็นห่วงพระองค์มากยิ่งนัก หากพระองค์มิปลอดภัย จักรพรรดิอู๋ก็คงมิมีจิตใจกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ ดังนั้น…เชิญไทเฮาเสด็จไปยังราชวงศ์อู๋เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“หากข้ามิไปเล่า ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)