อ่านสรุป ตอนที่ 951 เมื่อผู้คนตายจาก จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 951 เมื่อผู้คนตายจาก คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 951 เมื่อผู้คนตายจาก
หลิวจิ่นกลับมายังกวนหยุนถายล่าช้าไปเล็กน้อย
เขาพานางกำนัลมาด้วยสองสามนางพร้อมกับกล่องเครื่องเสวยสองสามกล่อง ทั้งยังมีสุราเก่าหนึ่งขวดที่บ่มไว้ในชั้นใต้ดิน
ผู้ที่มาพร้อมกับหลิวจิ่นยังมีเยาวชนอีกสามคนซึ่งได้แก่ หยุนซีเหยียน จงสือจี้และเว่ยอู๋ปิ้ง
หลิวจิ่นจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นส่วนตัวว่าฝ่าบาทอาจจะประสงค์ร่ำสุราเพื่อระบายความกลัดกลุ้มในพระทัยออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ หลิวจิ่นก็ได้เอ่ยอย่างระมัดระวังอีกว่า “ทูลฝ่าบาท พรุ่งนี้… พรุ่งนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องทำการตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าขึ้นมา คนผู้นี้มีความคิดที่ฉลาดและมีไหวพริบที่มิเลว ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ก็ว่าได้
“เจ้าตั้งใจสินะ มา ๆ ๆ มานั่งด้วยกันเถิด”
พวกหยุนซีเหยียนเข้ามานั่งล้อมรอบโต๊ะหมากรุก เหล่านางกำนัลนำสำรับอาหารที่ยังคงส่งไอร้อนมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นหลิวจิ่นก็โบกมือให้พวกนางออกไป ส่วนตนเองก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนและรินสุราให้กับทั้งสี่
“จะว่าไปก็นานมากแล้วที่พวกเรามิได้ร่ำสุราด้วยกัน ใช่ ! หยุนซีเหยียน… ส่วนผสมของหม้อไฟหมดแล้ว เจ้าต้องหามาเพิ่มให้ข้าสักหน่อยแล้วนะ”
“ฮึ ๆ ทูลฝ่าบาท นับจากนี้เป็นต้นไปเรื่องนี้จะมิใช่ปัญหาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน “เพราะเหตุใด ? ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมและจงสือจี้ได้สร้างอาชีพเสริมขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ พวกเราทำการขนส่งส่วนผสมของหม้อไฟจากเมืองสู่มายังเมืองกวนหยุน กระหม่อมได้ซื้อร้านค้าที่เมืองกวนหยุนมาหนึ่งแห่ง โดยให้เว่ยเซียงหานภรรยาของจงสือจี้หรือก็คือน้องสาวของเว่ยอู๋ปิ้งเป็นผู้ดูแลพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หยุนซีเหยียนก็ยื่นหน้าเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรซานเตาผู้นั้นสิพ่ะย่ะค่ะ ร้านผ้าปักที่ตระกูลของเขาเปิดขึ้นมาก็ได้องค์จักรพรรดินีทรงเขียนป้ายหน้าร้านให้พวกเขาด้วยพระองค์เอง ร้านหม้อไฟของพวกกระหม่อม… ฝ่าบาทสามารถประทานนามให้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ฮ่า ๆ ๆ…” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าพลางชี้ไปทางหยุนซีเหยียน “มันสมองของเจ้าช่างเป็นเลิศเสียจริง ได้ ! ข้าจะช่วยประทานนามให้แก่เจ้าเอง ใช้นามว่า… สู่ตี้หง เป็นเยี่ยงไร ? ”
หยุนซีเหยียนปรบมือขึ้นมาทันทีหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบ “เป็นนามที่ดีมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ มา ๆ ๆ เพื่อฉลองให้แก่นามนี้ กระหม่อมขอชนจอกสุรากับฝ่าบาทหนึ่งจอกพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในที่สุดบรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นมามากนัก ราวกับว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ลืมเรื่องราววุ่นวายเหล่านั้นไปจนสิ้นแล้ว
ชายหนุ่มสี่คนที่อายุมิต่างกันมาก ร่วมร่ำสุราและสนทนากันภายใต้ต้นสนเก่าแก่ สนทนาถึงเรื่องสนุกในอดีตและบอกเล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละคน
จงสือจี้ได้สมรสกับเว่ยเซียงหานแล้ว เว่ยอู๋ปิ้งก็ได้สมรสกับเจวียนเอ๋อร์แล้วเช่นกัน บัดนี้เจวียนเอ๋อร์ก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว คาดว่าจะคลอดราวเดือนเจ็ดในปีนี้
เจวียนเอ๋อร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเก้ามิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนจึงอนุมัติให้เว่ยเซียงหานเป็นเก้ามิ่งด้วยเช่นกัน
“หยุนซีเหยียน เอ่ยได้ว่า… บัดนี้เจ้ายังไร้คู่ครองใช่หรือไม่ ? ”
หยุนซีเหยียนหัวเราะเล็กน้อย “กระหม่อมมิรีบพ่ะย่ะค่ะ แม้จะมีทาบทามมาเป็นจำนวนมาก ทว่ายังมิพบคนที่ถูกใจพ่ะย่ะค่ะ เยี่ยงไรเสียเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องของพรหมลิขิต มิอาจทราบได้ว่าจะพบกันในวันใด เมื่อเวลานั้นมาถึงกระหม่อมก็ขอมิเกรงใจเพราะคงต้องขอพระราชทานเก้ามิ่งจากฝ่าบาทให้ภรรยาของกระหม่อมด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเจ้าแต่งงานพรุ่งนี้ ข้าก็จะพระราชทานไปให้ถึงจวนของเจ้าในวันพรุ่งนี้ ! ”
หยุนซีเหยียนรีบโบกมือเป็นพัลวัน “อย่าพ่ะย่ะค่ะ อย่า… กระหม่อมยังมิทันได้เริ่มเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมาเกือบสามเท่าตัวเชียว !
เดิมทีพวกเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านบูรณะในภายหลัง ทว่าเท่าที่เห็นได้ในตอนนี้คือเป็นพวกเขาเองที่กังวลเกินกว่าเหตุ
เว่ยอู๋ปิ้งมิค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าใดนัก เพราะเขาเป็นทหารจึงมิค่อยใส่ใจเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท เยี่ยงนั้นกองทัพก็ต้องรวมกลุ่มกันใหม่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“เรื่องกองทัพค่อนข้างจัดการง่าย สิ่งที่ข้าคิดไว้คือจัดตั้งกองทัพบกขึ้นมา 10 กองทัพโดยแบ่งออกเป็นสี่เขตการทหารคอยเฝ้าระวังทั้งสี่ทิศ ทุกกองทัพต้องคัดเลือกทหารอย่างละเอียด เรื่องนี้มิจำเป็นต้องเร่งรีบ เจ้าและเฉินป๋อจงทำการก่อตั้งกองทัพที่สามและสี่ขึ้นมาใหม่เสียก่อน”
“ทูลฝ่าบาท การเกณฑ์ทหารใกล้สิ้นสุดแล้ว กระหม่อมจะพากองทหารไปยังฐานทัพในอีกสองวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ! ข้าจะเรียกคนจากกองทัพที่หนึ่งกลับมาสักสองสามคน เป็นเฝิงซี พานชู่หยางและจ้าวเจวี๋ย ให้พวกเขาฝึกฝนเป็นผู้บัญชาการ เพราะเยี่ยงไรเสียผู้มีความสามารถก็มิเคยเพียงพอต่อการใช้งานเลย ! ”
“ชิวเหวยเมื่อปีที่แล้ว ข้าได้รับจิ้นซื่อมามากกว่าสามร้อยคน พวกเจ้าดูสิ บัดนี้อาณาเขตได้ขยายตัวออกไปหลายเท่า สามร้อยกว่าคนจึงมิเพียงพออย่างแท้จริง และที่ขาดมากที่สุดก็คือขุนนางระดับจือโจว ในราชวงศ์หยูถือว่ายังดีอยู่หรอก ข้ายังพอคุ้นเคยกับขุนนางเหล่านั้นอยู่บ้าง ผู้ที่ใช้การได้ถือว่ามีจำนวนมากเลยทีเดียว”
“ทว่าแคว้นอี๋และแคว้นฝาน… ข้ามิคุ้นเคยกับทั้งสองแคว้นนี้มากนัก จำต้องใช้คนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ใช่ ! ข้าได้ยินว่าฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามของแคว้นฝานมายังเมืองกวนหยุนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ…” หยุนซีเหยียนพยักหน้า “เขาได้ซื้อเรือนใหญ่หนึ่งหลังที่เมืองกวนหยุน คาดว่าจะตั้งรกรากถิ่นฐานที่เมืองกวนหยุนพ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยตามจริงแล้ว ฝานเทียนหนิงคือองค์ชายของแคว้นฝาน เมื่อแคว้นฝานพ่ายแพ้ เขาก็จะถูกจับ หากมิถูกจองจำก็จะถูกเนรเทศ
ทว่าหยุนซีเหยียนทราบดีว่าฝ่าบาทมิได้มีความคิดเยี่ยงนี้ ทั้งยังทราบอีกว่าฝานเทียนหนิงมีความสัมพันธ์อันดีต่อฝ่าบาท ดังนั้นเขาจึงมิเอ่ยอันใดออกไปให้มากความ
เป็นเยี่ยงที่คิดไว้คือฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยกับหลิวจิ่นว่า “เจ้าช่วยข้าจดเอาไว้ด้วยว่า ให้นัดฝานเทียนหนิงมาพบข้าที่นี่ในวันพรุ่งนี้ยามเย็น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)