อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 44

หากกล่าวถึงข่าวลือเหล่านั้นสำหรับภายในใจของซูอวี๋เหนียนยังคงมีความสงสัยอยู่หลายส่วน แต่หลังจากที่ได้เห็นมู่เสี่ยวและน้องสาวของตนเองในวันนี้แล้ว ความสงสัยของเขาก็จางหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าเวลาปกติมู่เสี่ยวจะมีสมญานามว่า "อ๋องแห่งความเกียจคร้าน" แต่ทว่าดวงตาทั้งคู่นั้น กลับทำให้ยากที่ผู้ใดจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อครู่นี้ ตอนที่เขาเดินมาข้างหน้าเพื่อยืนเคียงคู่อยู่กับน้องสาวของตน ภายในแววตากลับเผยความสุขออกมา

"ท่านอ๋อง หวางเฟย..." ทางด้านหลัง ไป๋เยว่ก็แสดงความเคารพทั้งสองเช่นกัน

เมื่อในอดีตผู้คนในจวนนี้ต่างก็เรียกตนเองว่า"คุณหนู" แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ยินคนเรียกตนเองด้วยชื่อที่ไม่คุ้นเคยอย่าง"หวางเฟย"แล้ว ไม่คาดคิดว่านางจะมีความรู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว และด้วยความตกใจนี้ ทำให้ลืมที่จะประคองไป๋เยว่ขึ้นมา

"อะแฮ่ม!" ซูอวี๋เหนียนกำมือเบา ๆ แล้วป้องไว้ข้างริมฝีปากจากนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างชัดเจน

แล้วซูเมิ่งเยียนก็ตอบสนองกลับในทันที และรีบร้อนยื่นมือออกไปพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องพิธีมากเช่นนั้น" นางไม่ได้ลืมว่า ไป๋เยว่ในชีวิตที่แล้วก็เป็นพี่สะใภ้ของนาง 

ในตอนนี้ เมื่อได้เห็นท่าทางของพี่ชายแล้ว เกรงว่าน่าจะรู้ใจขึ้นมาบ้างแล้ว

"ขอบพระทัยหวางเฟย"ไป๋เยว่ยิ้มให้นาง

"เอาล่ะ อย่ายืนที่ประตูอยู่เลย เข้าไปในจวนกันก่อนเถอะ"ขณะที่ซูอวี๋เหนียนกล่าว ก็จะใช้มือช่วยประคองหลังของไป๋เยว่ไปด้วย และพวกเขาทั้งสองก็เดินเข้าไปข้างในจวนด้วยกันกับซูเมิ่งเยียน

แต่กลับไม่ทันรอให้เขาได้ยืนมือออกมา ไป๋เยว่ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และเดินตามหลังพวกเขาสองสามคนมาด้วยความเคารพ

สีหน้าของซูอวี๋เหนียนบูดบึ้งขึ้นมาในทันที แต่เขากลับไม่สามารถที่จะเกิดโทสะได้

สถานการณ์เช่นนี้ อยู่ภายใต้การมองเห็นของซูเมิ่งเยียน และมันก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ แม้จะกล่าวได้ว่าในอดีตที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบเนื้อแนบเนื้อกับหญิงสาวในจวนมาก่อน แต่ที่จริงแล้วก็มีความเป็นหนุ่มเจ้าสําราญอยู่ไม่น้อย ในตอนนี้ เกรงว่าไป๋เยว่จะเสียใจต่อเขาไปบ้างแล้ว และหลังจากนี้ไป เขาก็คงจะไม่มีความสุขอีกแล้ว

จวนตระกูลซูนั้นยิ่งใหญ่มาก อย่างไรเสียตระกูลซูก็มั่งคั่งที่สุดในแคว้น ภายในจวนนั้นโถงด้านหน้าและสวนด้านหลังแยกกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็จะมีศาลาไว้ให้คนได้พักผ่อน และภายในสวนก็ยิ่งมีความเขียวชอุ่ม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความหรูหรา ตรงกันข้ามกลับให้ความรู้ว่าเป็นตระกูลของบัณฑิตเสียมากกว่า

ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปยังบริเวณที่ตนเองอยู่มาตั้งแต่เล็กนี้ และในอนาคต ไม่รู้ว่าหลังจากที่หย่ากับมู่เสี่ยว จะยังสามารถกลับมาที่นี่ได้อีกหรือไม่

"คิดอะไรอยู่หรือ?" เสียงของมู่เสี่ยวดังขึ้นมาจากข้างกาย และมันก็เบามากเสียจน แม้แต่เสียงลมท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีโดยรอบก็ยังได้ยิน

ซูเมิ่งเยียนกล่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า "หลังจากที่ท่านและข้าหย่ากัน..."

ก่อนที่จะกล่าวคำนี้จบ ก็รู้สึกได้ถึงความเงียบงันที่ผิดปกติโดยรอบ

ซูอวี๋เหนียนก็คงทำหน้าบูดบึ้งอยู่เพียงลำพังนำหน้า และไป๋เยว่ก็ยังคงเดินติดตามมาอยู่ข้างหลังอย่างนอบน้อม

ดูเหมือนว่าเสียงของลมจะหยุดลงแล้ว และยังมี...เสียงของมู่เสี่ยวที่หยุดลงแล้วเช่นกัน

ซูเมิ่งเยียนหันหน้ากลับมา และเห็นว่ามู่เสี่ยวจ้องมองมาที่นางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาของเขาไม่ไหวติง แล้วภายในใจก็เกิดรู้สึกที่ไม่สบายใจเล็กน้อย "ท่าน...ทำอะไรหรือ?"

มู่เสี่ยวยังคงไม่พูดอะไร เขาเงยหน้าเหลือบมองไปที่บริเวณโดยรอบ และเขาก็ยกเท้าขึ้นเดินตรงไปข้างหน้า โดยที่ไม่ได้สนใจนางอย่างสิ้งเชิง 

ซูเมิ่งเยียน "..."

เมื่อรอจนไปถึงห้องโถงกลาง เดิมทีแล้วซูเมิ่งเยียนคิดว่าซูเจียงไห่จะต้องรอตนเองอยู่ที่นี่ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะว่างเปล่าเช่นนี้ "พี่ใหญ่ ท่านพ่อล่ะ?" นางถามอย่างสงสัย

วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางกลับมาที่จวนหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ หรือว่าท่านพ่อจะไม่อยู่บ้าน?

"ใครใช้ให้เจ้าไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมาเลยเป็นเดือน ๆ กันล่ะ ท่านพ่อโกรธเจ้าไปแล้ว!" ซูอวี๋เหนียนเหลือบมองไปที่นางด้วยความไม่สบอารมณ์

ซูเมิ่งเยียนตกใจ แล้วใช้มือจับไปที่ไหล่อย่างไม่รู้ตัว หากไม่ใช่เพราะว่าไหล่ได้รับบาดเจ็บ เดิมทีนางก็ควรจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งานสามวันแล้ว

ที่อีกข้างหนึ่ง มู่เสี่ยวสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของนาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และก็เข้าใจความหมายของนางขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ความโกรธเคืองเมื่อครู่ยังไม่ทันได้จางหายไป จนทำให้เขาอดที่จะเหลือบมองไปทางซูอวี๋เหนียนไม่ได้

แน่นอนว่าซูอวี๋เหนียนจัต้องได้รับ "คำเตือน" ของเขาอยู่แล้ว แล้วเขาก็ค่อย ๆ ชำเลืองมองไปยังสวนหลังบ้าน "ท่านพ่อกำลังดื่มชาอยู่ที่ศาลาข้างเขาหินที่สวนหลังบ้าน!"

ดวงตาของซูเมิ่งเยียนเปล่งประกาย จากนั้นจึงรีบหยิบชุดชงชาและวิ่งไปที่สวนด้านหลัง แม้แต่มู่เสี่ยวต่างก็ไม่ทันได้ดูไปชั่วขณะหนึ่ง

ซูอวี๋เหนียนมองไปที่แผ่นหลังของนางอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันกลับมามองที่มู่เสี่ยว "เด็กน้อยคนนี้ ถึงวันนี้จะแต่งงานไปแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจะยังบุ่มบ่ามเช่นนี้อยู่อีก!"

ถึงสีหน้าของมู่เสี่ยวจะยังปกติดี และยังพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า "ไม่เป็นไร" แต่ภายในใจกลับแข็งทื่อไปเล็กน้อย ตอนอยู่ที่จวนอ๋อง นางไม่ค่อยทำตัวสบายๆ แบบนี้ และส่วนใหญ่นางต่างก็ดูเป็นคนสุภาพและเยือกเย็น

เขายังเคยคิดว่าเมื่อนางอยู่ที่บ้านคงมีนิสัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ทว่าวันนี้เพิ่งจะได้รู้ ว่าแท้จริงแล้ว...นางระมัดระวังแค่ตอนอยู่จวนอ๋องเท่านั้น

นาง...ไม่เคยคิดว่าจวนอ๋องเป็นบ้านที่แท้จริงมาตั้งแต่แรกแล้ว!

บ้าน? มีความหวาดผวาเกิดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของมู่เสี่ยว เขามีความคิดที่ไร้สาระเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เขารีบสลัดความคิดที่เกินจำเป็นนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว

"เมิ่งเยียนใส่ใจท่านมาก ท่านอ๋อง" น้ำเสียงของซูอวี๋เหนียนค่อนข้างจริงจัง

มู่เสี่ยวหรี่ตาลง อย่างไม่เข้าใจความหมายของเขา

"ตั้งแต่นางยังเด็ก ขนาดโดนมืดทำให้หนังหลุดจนเลือดหยดลงมาหยดหนึ่งก็ร้องไห้ไปครึ่งวันเลย แต่ในวันแต่งงานกลับเต็มใจที่จะรับดาบแทนท่าน" ซูอวี๋เหนียนถอนหายใจออกมา "ได้โปรดเถิดท่านอ๋อง อย่าทำให้นางต้องผิดหวังเลย"

"..." ครั้งนี้ มู่เสี่ยวไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

มีเพียงสายตาของเขาที่จ้องมองไปยังสวนด้านหลังอย่างช้า ๆ อย่าทำให้นางผิดหวังหรือ? แต่เมื่อครู่นางยังคิดถึงเรื่อง "หย่าร้าง" อยู่ตลอดเวลาอยู่เลย!

...

ซูเมิ่งเยียนวิ่งไปยังศาลาที่สวนด้านหลังอย่างดีอกดีใจ และที่นางตื่นเต้นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าตั้งแต่เด็กๆ ท่านพ่อจะให้คนรับใช้ทำขนมอร่อย ๆ มาวางไว้ที่ศาลา แล้วท่านพ่อก็จะดื่มชา ส่วนนางก็จะมากินขนม

หลังจากนั้นไม่นาน พอนางได้ยินว่าท่านพ่ออยู่ที่ศาลา ไม่รู้เลยว่าท่านพ่อจะค้นพบของดีเข้าอีกแล้ว

นางกอดชุดชงชาเอาไว้ในมือ แล้ววิ่งไปตามทาง แต่เนื่องจากที่นางไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นเวลานานแล้วทำให้หอบหายใจเล็กน้อย พวงแก้มของนางต่างก็มีเลือดฝาดอยู่เล็กน้อย เพียงแต่...เมื่อเดินเข้าไปใกล้ นางก็ต้องชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง แล้วจ้องมองไปที่เงาของคนที่อยู่ในศาลา

ไม่ใช่แค่ท่านพ่อเท่านั้น แต่เฉียวฉู่ก็อยู่ด้วย

รูปร่างของท่านพ่อดูผอมลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เขากำลังมองไปที่เฉียวฉู่แล้วพูดอะไรบางอย่าง และเฉียวฉู่ก็ใจจดใจจ่อกับการฟังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพยักหน้ารับเป็นครั้งคราวด้วย

เขาสวมชุดสีเขียวอ่อน และถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผ้าไหม แต่เมื่อสวมลงบนร่างกายของเขา กลับให้ความรู้สึกถึงบัณฑิตที่สูงส่ง แถมเข้ากับรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ทำให้ศาลานั้นมีความหมายของความสงบสุขไปหลายปีเลยทีเดียว 

"ท่านพ่อ!" ซูเมิ่งเยียนร้องตะโกนเสียงดังก้อง

มันจึงทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ในศาลาตกใจ และทั้งสองนั้นก็หันหน้ามาพร้อมกัน

ซูเมิ่งเยียนยิ้มอย่างดีใจ แล้วนำชุดชงชาที่อยู่ในมือวางไว้ด้านข้าง "ท่านพ่อ ลูกสาวมาหาท่านแล้ว!" น้ำเสียงของนางมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แล้วซูเมิ่งเยียนก็เหลือบมองไปที่เฉียวฉู่ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นนั้น เขาหันกลับมา และโอบกอดซูเมิ่งเยียนพลางกล่าวว่า "เด็กน้อยที่บินออกจากบ้านไป ในที่สุดก็รู้ทางกลับแล้วอย่างนั้นหรือ?"

"ท่านพ่อ!" ซูเมิ่งเยียนบ่นพึมพำ "ที่นี่ก็เป็นบ้านของข้านะ!"

"เจ้ายังรู้ว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าด้วยหรือ!" ซูเจียงไห่แสร้งทำเป็นโมโห แล้วเอื้อมมือออกไปหมายจะตีนาง แต่กลับคิดไปถึงบาดแผลที่เพิ่งหายดีของนาง เขาจึงต้องยอมแพ้ไป "ไหนเจ้าพูดมาซะ ว่าในเวลาปกติแล้วสอนเจ้ามาเช่นไร เมื่อพบเจอกับอันตรายก็ต้องหลีกไปให้ไกล ยังมีพ่อของเจ้านะ แต่ตอนนี้เป็นเช่นไร เมื่อเห็นคนถือดาบ เจ้าก็ใกล้จะวิ่งไปรับ..."

"ท่านพ่อ ในตอนนั้นลูกสาวก็แค่รีบร้อน..." นางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าข่าวลือในเมืองหลวงที่ตนเองจะรักมู่เสี่ยวมากนั้นจะเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "...หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว" นางพึมพำอย่างแผ่วเบา

หลังจากนี้ก็กลัวแต่ว่าจะไม่มีฐานะและไม่มีคุณสมบัติอีกแล้ว

"ยังจะมีหลังจากนี้อีก!" ซูเจียงไห่ทำเสียงฮึดฮัดเบา ๆ "เจ้าโชคดีที่ท่านพี่เฉียวของเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องฟาดเจ้าสักทีเหมือนก่อนแน่!"

ซูเมิ่งเยียนเม้มปากของนางแน่น แล้วออกมาจากอ้อมกอดของซูเจียงไห่ จากนั้นก็มองไปยังเฉียวฉู่ และคนที่อยู่ข้างหลังนั้นก็มองมาที่นางเช่นกัน คิ้วและดวงตาของเขายังคงอบอุ่นอยู่เสมอ บวกกับรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาด้วย

"ท่านพี่เฉียว" ซูเมิ่งเยียนยิ้มจนตาหยี

เฉียวฉู่ก็ยิ้มให้นางด้วยเช่นกัน ภายในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลอยู่ไม่น้อยเลย "เจ้าดูดีกว่าครั้งที่แล้วที่ข้าได้เห็นเจ้าอยู่เล็กน้อย"

ซูเมิ่งเยียนเลิกคิ้วขึ้น บวกกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ "ร่างกายของข้าแข็งแรงจะตายไป นอกจากนี้ ข้ายังเป็นผู้ช่วยชีวิตมู่เสี่ยว และในจวนอ๋องนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวไม่ดีกับข้าด้วย!"

รอยยิ้มของเฉียวฉู่แข็งทื่อไปทันที

"เอาล่ะ พวกเราไปที่โถงด้านหน้ากันก่อนเถอะ" ซูเจียงไห่หัวเราะขณะลูบเคราไปด้วย "ไม่เช่นนั้น คนอื่นจะบอกว่าครอบครัวของผู้มีพระคุณอย่างเจ้า ปฏิบัติต่อท่านอ๋องผู้นั้นไม่ดี!" พูดจบ เขาก็หันหลังเดินไปก่อน

ซูเมิ่งเยียนแลบลิ้นปลิ้นตา บวกกับท่าทางขี้เล่นอย่างหาได้ยาก แล้วจากนั้นจึงรีบเดินตามไป

ที่ด้านหลัง กลับมีเสียงของเฉียวฉู่ถามขึ้นมาเบา ๆ ว่า "เกิดอะไรขึ้นกับหน้าผากของเจ้า?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน