อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 45

ตลอดทาง เนื่องจากที่นางทาเครื่องแป้ง จึงไม่มีใครมองออกว่าหน้าผากของซูเมิ่งเยียนได้รับบาดเจ็บ

พี่ชายคนโตมีนิสัยที่รักอิสระ และไม่สนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อครู่ท่านพ่อก็มองไม่ออก

แม้แต่มู่เสี่ยว ตอนที่ทั้งสองเผชิญหน้ากันและกันอยู่บนรถม้าเป็นเวลานาน เขาก็ไม่เคยมองออก หรือเขามองออกแต่เพียงไม่ได้สนใจเท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีเฉียวฉู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองออก

ไม่แปลกใจเลยที่ในอดีต เพื่อชื่อเสียงของนางแล้ว น้อยครั้งมากที่เฉียวฉู่จะอยู่ในสถานที่เดียวกันกับนางสองต่อสอง แต่วันนี้กลับทิ้งท่านพ่อแล้วมาเดินเคียงข้างนาง แท้จริงแล้วก็เพราะอยากจะมาถามอาการบาดเจ็บตรงมุมหน้าผากของนางนั่นเอง

"ไม่เป็นไรหรอก" ซูเมิ่งเยียนหันหน้ากลับไป แล้วยิ้มให้กับเฉียวฉู่ ซึ่งครั้งนี้ ก็เป็นรอยยิ้มที่เพิ่มความจริงใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย

นางก็ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า เช่นนั้นจึงรู้สึกได้ด้วยตนเองว่า เฉียวฉู่นั้นเป็นห่วงเป็นใยนางจริง ๆ

"แต่ใช้ยาทาแผลแล้วใช่หรือไม่?" เฉียวฉู่ยังคงกระซิบถาม ดวงตาของเขามองไปข้างหน้า และมองไปด้านข้างบ้างเป็นครั้งคราว อีกทั้งยังเหลือบมองมาที่นางด้วย

"ทาแล้ว แต่ว่ายังบวมแดงอยู่เล็กน้อย ทาอีกสักสองสามวันคงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ"

"อืม" เฉียวฉู่ตอบกลับมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ "หลังจากกลับไปที่จวน ต้องเอาแป้งทาหน้าออก ไม่งั้นเกรงว่าจะอึดอัดจนมีปัญหาอีก"

ซูเมิ่งเยียนหันหน้ากลับไป แล้วจ้องมองไปที่เฉียวฉู่โดยไม่กะพริบตา

เฉียวฉู่ถูกนางจ้องมองจนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และเมื่อผ่อนคลายลงแล้วครู่หนึ่งจึงหันไปมองทางนาง "มีอะไรหรือ?"

"ไม่มีอะไร" ซูเมิ่งเยียนส่ายศีรษะ "เพียงแค่รู้สึกว่าเหตุใดวันนี้อยู่ ๆ ท่านพี่เฉียวถึงได้จู้จี้ขึ้นบ่นถึงเพียงนี้?" นางกล่าวอย่างหยอกล้อ

เฉียวฉู่ชะงักงันไปทันที ต่อมาก็มีร่องรอยของความจำใจปรากฏอยู่บนคิ้วและดวงตา เขาจ้องมองไปที่นาง จากนั้นก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยเป็นเวลานาน "เจ้ากลายเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ฟังคำพูดของเขาเจ้าไม่เคยรังเกียจมาก่อนเลย แต่ตอนนี้มีสามีแล้วจึงรังเกียจพี่เฉียวแล้วอย่างนั้นหรือ?"

คำพูดนี้ ต้องจะเป็นคำหยอกล้อกับนางอย่างธรรมชาติ แต่มันกลับสอดแทรกการเยาะเย้ยตนเองลงไปด้วยไม่น้อย

นางได้แต่งงานไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เขารู้ดีมากกว่าผู้ใด

"ท่านพี่เฉียวกลั่นแกล้งข้าแล้ว" ซูเมิ่งเยียนน้อยอกน้อยใจ "ตอนที่ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ก็รังเกียจท่านพี่เฉียวอยู่ไม่น้อยเลยนะ..."

คำพูดนี้ทำให้ทั้งสองคนส่งเสียงหัวเราะออกมา

ภายในห้องโถงใหญ่ตรงเรือนหลัก มู่เสี่ยวและซูอวี๋เหนียนกำลังพูดคุยเรื่องบางอย่างอยู่ บางทีอาจจะมีสาเหตุมาจากการแต่งงาน หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ซูอวี๋เหนียนไม่ค่อยเที่ยวเล่นไปทั่วเหมือนเดิม ทั้งสองคนจึงได้เจอกันอีกครั้งน้อยมาก เมื่อได้เจอหน้ากันวันนี้ บรรยากาศก็ไม่เงียบเหงาอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านนอก มู่เสี่ยวที่เดิมที่มีท่าทางที่สงบนิ่งก็ตึงเครียดขึ้นมาไม่น้อยเลย เขาค่อย ๆ จ้องมองไปทางประตู แต่กลับพบว่าด้านหลังของซูเจียงไห่ มีซูเมิ่งเยียนและเฉียวฉู่กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ อีกทั้งยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย และเมื่อแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันตกกระทบลงบนร่างของทั้งสอง จึงทำให้เพิ่มความอบอุ่นขึ้นมาอีกไม่น้อยเลย

มู่เสี่ยวหรี่ดวงตาลง และอำพรางลำแสงของความอันตรายเอาไว้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เฉียวฉู่ก็มาที่จวนวันนี้ด้วย และ...

เขาสามารถทำให้ซูเมิ่งเยียนที่มีท่าทางยิ้มแย้มเช่นนั้นได้

"ในที่สุดก็ยอมมาแล้วอย่างนั้นหรือ?" ถึงอย่างไรซูเจียงไห่ก็เป็นผู้ใหญ่ บวกกับสาเหตุที่ทำให้ซูเมิ่งเยียนได้รับบาดเจ็บก็เป็นเพราะมู่เสี่ยว วันนี้เมื่อได้เห็นเขา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดดุสักสองสามประโยค

มู่เสี่ยวถอนสายตากลับอย่างแผ่วเบา เขาลุกขึ้นโค้งคำนับเล็กน้อย ร่างที่สูงระหงทั้งสงบและสง่างาม "ลูกเขยขอคารวะท่านพ่อตา อาการบาดเจ็บของเมิ่งเยียนเป็นความผิดพลาดของข้า ที่ลูกเขยมาวันนี้ก็เพื่อแบกหนามขอขมาโดยเฉพาะ"

คำพูดนี้ถึงจะดูธรรมดาไปบ้าง แต่เมื่อเขากล่าวออกมาจากปากของตนเอง ก็มักจะดูจริงใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงอ๋อง ในเมื่อโค้งคำนับขอโทษเป็นการส่วนตัวแล้ว ซูเจียงไห่ก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงทำได้แต่ปล่อยวางมันไป "รีบลุกขึ้นเถิด วันนี้เมิ่งเยียนไม่เป็นไรแล้ว ข้าก็วางใจไปได้บ้างแล้ว" ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็เหลือบมองไปที่ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขา "ท่านอ๋อง..."

"ท่านพ่อตาเรียกข้าว่ามู่เสี่ยวก็ได้" มู่เสี่ยวพยักหน้ากล่าว

ซูเจียงไห่ชะงักไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กล่าวเรียกขึ้นมาว่า "ลูกเขย นี่คือลูกศิษย์ของตระกูลซูชื่อว่าเฉียวฉู่ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเรียนรู้แน่นมาก เฉียวฉู่ ท่านนี้ก็คืออ๋องหย่งอัน และก็เป็นสามีของเมิ่งเยียนด้วย"

สีหน้าของเฉียวฉู่ยังคงสดใสอยู่ เขายกมือขึ้น เพื่อแสดงความเคารพต่อมู่เสี่ยว "เฉียวฉู่คารวะท่านอ๋อง"

"..." มู่เสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วมุ่น

เมื่อเห็นถึงการตอบสนองของหญิงสาว สีหน้าของมู่เสี่ยวยิ่งเคร่งขรึมขึ้น

ในทางกลับกันสีหน้าของมู่เสี่ยวยังคงเรียบเฉยอยู่เสมอ เขายืดตัวตรง แล้วยิ้มอย่างอบอุ่น "ก่อนหน้านี้ ข้าน้อยเคยพบหน้ากับท่านอ๋องมาหลายครั้งแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องยังจำได้หรือไม่?"

มู่เสี่ยวก็ยิ้มขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเช่นกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาว่า "ข้ามักจะมีความจำที่ไม่ดีเท่าไรนัก ไม่เคยเห็นจะจำได้เลย"

ซูเมิ่งเยียนยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น คำพูดนี้ของมู่เสี่ยว เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเจตนาจะทำให้เฉียวฉู่นั้นอึดอัดใจ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดึงเครียดไปเล็กน้อย นางจึงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ท่านพี่เฉียวเคยไปหาข้าอยู่หลายครั้ง แต่คาดว่าเนื่องจากท่านอ๋องงานยุ่งอยู่ทุกวัน จึงน่าจะยุ่งจนลืมไปแล้วล่ะ"

หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมีความตั้งใจที่จะปกป้องอย่างชัดเจนมาก

มู่เสี่ยวหรี่ตาลง แล้วยิ้มตอบกลับอย่างสดใสแวววาวยิ่งกว่าเดิม "ใช่แล้ว เมิ่งเยียนช่างเป็นคนรู้เหตุรู้ผลเสียจริง ที่จริงแล้วข้า...ยุ่งจนลืมไปแล้ว!"

ประโยคท้ายที่สุด และแต่ละคำที่พ่นออกมา แม้ว่าจะเป็นคำพูดสำหรับเฉียวฉู่ แต่ทว่าสายตากลับจ้องมองไปยังซูเมิ่งเยียน

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

ซูเมิ่งเยียนเหลือบมองไปทางเขา ภายในสายตาต่างก็เต็มไปด้วยการตำหนิ

เมื่อได้รับแววตาที่จ้องมองมาของนาง มู่เสี่ยวก็ตกใจไปก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออก และค่อย ๆ เดินไปอยู่ข้างกายนาง แล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดไปที่ไหล่ของนาง จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างสนิทสนม "เมิ่งเยียนเจ้าไม่สบายเช่นนั้นหรือ?"

ซูเมิ่งเยียนพยายามดิ้นรน และไม่รู้ว่ามือของมู่เสี่ยวเติบโตอยู่บนไหล่ของนางหรืออย่างไร เพราะถึงไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่หลุดออกไปเสียที สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยเขาไปเท่านั้น

อีกด้านหนึ่ง ซูเจียงไห่ที่จ้องมองไปยังการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของทั้งสองคนนั้น ก็ต้องพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ เขายังเคยกังวลและกลัวว่าเมิ่งเยียนอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานหลังแต่งงาน แต่เมื่อมองจากวันนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่เลวเท่าไรนัก

ก็ว่าแล้ว...คนที่แต่งงานไปแล้ว มีความสุขุมมากกว่าคนที่ยังไม่ได้แต่งงานเล็กน้อย และอย่างน้อยที่สุด ก็อาจจะได้กลับไปคิดทบทวนอะไรได้มากมายขึ้น

"เอาล่ะ ตอนนี้ก็เที่ยงวันแล้ว และที่ห้องอาหารก็ได้เตรียมอาหารเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว เฉียวฉู่เจ้าก็อยู่ทานอาหารเที่ยงด้วยกันที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปเถอะ" ถึงอย่างไรเสียซูอวี๋เหนียนก็เคยมีประสบการณ์เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน และสังเกตได้ว่าเวลานี้มีบางอย่างที่ผิดปกติไป จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

"ถูกแล้ว เฉียวฉู่ เจ้าก็อยู่ต่อเถิด" ซูเจียงไห่หันหน้ากลับไปมองเขา "ตอนนี้เจ้าปีศาจตัวน้อยของเจ้าก็ได้เข้าเรียนแล้ว และตัวเจ้าเองก็จะต้องกินเช่นกัน อย่างไรก็อยู่ที่นี่เถิด"

เฉียวฉู่หันศีรษะและไปเหลือบมองไปที่ซูเมิ่งเยียน

ซูเมิ่งเยียนก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน

สุดท้ายแล้วเฉียวฉู่ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย "เช่นนั้นข้าน้อย...คงจะต้องทำตามที่ท่านต้องการแล้ว"

ทุกคนต่างพากันหันหลังเดินไปยังห้องโถงด้านข้าง

ในขณะที่ซูเมิ่งเยียนกำลังจะก้าวเท้าเดินตามไป ไหล่ของนางก็ได้ถูกคนบีบเอาไว้แน่น จนทำให้นางรู้สึกถึงความเจ็บปวด จึงหันไปมองคนที่อยู่ด้านข้างของตนพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกใช่หรือไม่?ท่านเคยเจอท่านพี่เฉียวมาหลายครั้งแล้วนี่ เหตุใดเมื่อครู่ท่านต้องโกหกด้วย?"

ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ สีหน้าของเขายิ่งบูดบึ้งมากขึ้น สายตาที่เป็นราวธนูเย็นยิงใส่นางอย่างต่อเนื่อง และนางก็มองเห็นทั้งหมดนั้นแล้ว หลังจากนั้นเขาก็จงใจที่จะกล่าวคำเช่นนั้นออกมาเพื่อทำให้ท่านพี่เฉียวต้องอับอาย หากจะบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจนางก็ไม่มีทางเชื่อ

"ปกติข้าก็ยุ่งมากอยู่แล้ว เลยลืมเขาไปจริง ๆ ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?" มู่เสี่ยวเลิกคิ้ว สายตาของเขามืดมิดและหม่นหมอง

"คำพูดเหล่านี้ของท่านอ๋องจริงใจเช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนบ่นพึมพำ เขายุ่งจนลืมเช่นนั้นหรือ?

ในชีวิตที่แล้ว นางชอบอยู่ที่ห้องหนังสือของมู่เสี่ยว เพราะคิดอยากที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขา มู่เสี่ยวอ่านสาส์นที่กราบทูล ส่วนนางอ่านบทละคร มู่เสี่ยวก็มักจะเยาะเย้ยงานอดิเรกของนาง และซูเมิ่งเยียนก็จะโกรธมาก จากนั้นก็เอาบทละครมาพลิกอยู่ตรงหน้าของเขาสองสามหน้า แล้วกล่าวว่าสิ่งเหล่าบรรยายเรื่องราวความรักความสัมพันธ์แรงปรารถนาที่มีของหนุ่มสาว และคู่รักในอุดมคติ ซึ่งมันก็น่าสนใจมากกว่าเรื่องการเมืองเป็นไหน ๆ 

มู่เสี่ยวดูถูกมากขึ้นไปอีก

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในตอนที่ซูเมิ่งเยียนอ่านบทรักจนดึกดื่น และเผลอทำเทียนล้มในขณะที่นางหลับอยู่ ถึงแม้ว่านางจะรู้ตัวเร็ว แต่มันก็เผาไปหลายหน้าเสียแล้ว

นางรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ แม้ว่าในวันรุ่งขึ้นจะซื้อเล่มใหม่มาได้ แต่เรื่องราวที่ได้อ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วต้องมาหยุดอย่างกะทันหันมันทำให้นางอารมณ์เสียมากจริง ๆ  และนางก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ และยิ่งมาเห็นมู่เสี่ยวมีท่าทางที่เยาะเย้ยนาง จึงทิ้งบทละครไปและต้องการจะจากไป แต่ก็ยังทิ้งคำพูดที่โหดร้ายไปประโยคหนึ่ง "ห้องหนังสือของท่านมันเส็งเคร็ง ข้าจะไม่มาอีกแล้ว"

แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินออกไป น้ำเสียงที่ทุ้มลึกของมู่เสี่ยวก็ดังขึ้นมา "...เมื่อบัณฑิตผู้นั้นได้รู้แล้วว่าตนเองเข้าใจสุนัขจิ้งจอกผิด ภายในหัวใจก็เศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง น้ำตาอาบทั่วใบหน้า แล้วจึงหันกลับมาและต้องการที่จะรีบออกไป..."

สิ่งที่เขาพูดมานี้ ก็คือเนื้อหาในบทละครเรื่องนั้น หลังจากที่อ่านเพียงครั้งเดียว เขาก็ท่องออกมาได้โดยไม่ขาดไปสักคำเดียว

บทรักระหว่างชายหญิงของบทละคร ออกมาจากปากกของเขา อีกทั้งยังมาพร้อมกับความเย็นชาที่คลุมเครือ

จากนั้นซูเมิ่งเยียนก็เดินกลับไปยังหอสมุดอย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดหลังจากนั้น แต่หลังจากที่พูดต่อไปเพียงไม่กี่หน้า กับบทละครที่กำลังต่อเนื่อง แต่เขาก็ไม่เปิดปากพูดมันอีกแล้ว

ความทรงจำหยุดไปอย่างกะทันหัน

ซูเมิ่งเยียนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดใจ แต่ก็ยังเคยมีความหอมหวานผสมอยู่ในความขมขื่นบ้าง

"เหตุใดถึงตื่นเต้นเพียงนี้?" น้ำเสียงเย็นชาจากชีวิตครั้งที่แล้วของมู่เสี่ยวดังก้องเข้ามาในหูของนาง

ซูเมิ่งเยียนตอบสนองกลับมา แล้วจ้องมองไปที่เขา

แต่เขากลับไม่แม้แต่จะมองมาที่นาง "ซูเมิ่งเยียน หากข้าอยากที่จะทำให้เฉียวฉู่ต้องอับอายจริง ๆ เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทางที่ตื่นเต้นเช่นนั้นล่ะ?" ทันทีที่พูดจบ เขาก็ปล่อยมือจากนางพลางกล่าวว่า "เพื่อปกป้องเขาเช่นนั้นหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน