อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 67

ภูมิใจหรือ?

ซูเมิ่งเยียนมองใกล้เข้าไปในดวงตาของมู่เสี่ยวที่อยู่เบื้องหน้า เขาอ่อนโยนมาก  ถึงขนาดที่ว่าเป็นความอ่อนโยนที่ไม่เหมือนเขาเลย

เขาจับจ้องมองไปที่นางเช่นนี้ ภายในแววตาของเขาสับสน นอกจากนี้ยังมีความประชดปะปนอยู่เล็กน้อยด้วย

ความคิดของซูเมิ่งเยียน ก็ถูกดึงสติกลับมาทันทีด้วยสายตาของมู่เสี่ยว ความรู้สึกที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจเมื่อครู่นี้ เวลานี้มันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

"ท่านอ๋องรู้สึกเสียใจภายหลังที่ช่วยเหลือข้าออกมาเช่นนั้นหรือ?" นางถามกลับโดยที่เลียนแบบน้ำเสียงของเขา

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียใจภายหลังหรือ? ไม่ เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่เขาใช้เท้าถีบประตูตำหนักต้องห้าม แล้วมองเห็นนางที่ขดตัวแน่นอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องนั้น และในตอนที่ร่างบางนั้นไม่ขยับเขยื้อน ก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉายแวบเข้ามาในก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งมันคือความคิดที่ชั่วร้ายที่ไม่อาจควบคุมได้

ในระหว่างทางที่เขาไปยังตำหนักต้องห้ามก็ได้ฟังรายงานของซวนหยวนไปด้วย ว่าหลายวันนี้ นางไม่ได้กินข้าวเลยแม้แต่นิดเดียว

ตั้งแต่เล็กจนโตนางถูกเลี้ยงมาในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูล จะเคยได้รับความยากลำบากเช่นนี้ได้เมื่อใดกัน? เช่นนั้น เมื่อเห็นร่างที่ไม่ไหวติงขดอยู่มุมนั้น ภายในก้นบึ้งของหัวใจเขาตื่นตระหนัก แต่กลับไม่มีความเสียใจภายหลังเลย

อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่เขาไม่พอใจมากที่สุด นั่นก็คือการที่เข้าไม่เสียใจ!

หากว่าเขาเสียใจ ในตอนนี้ก็คงไม่อาจจ้องมองนางอย่างยินดีเช่นนี้ได้

แต่ทว่า...ไม่ได้ เขาระงับความโมโหเอาไว้ภายในใจ

"เจ้าคือหวางเฟยหย่งอัน" ในที่สุด มู่เสี่ยวก็กล่าวเช่นนี้ออกมา เนื่องจากว่านางคือหวางเฟยหย่งอัน เช่นนั้น เขาจึงได้เข้ามาตามหาคนด้วยตนเอง ไม่ได้เป็นเพราะนาง แต่เป็นเพราะ...ศักดิ์ศรีของจวนอ๋อง

"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง..." ซูเมิ่งเยียนกระซิบบ่นพึมพำ ดูเหมือนว่า นางจะเป็นผู้ที่ทำให้เขาต้องอับอายอีกแล้ว เพียงแต่ว่า "ท่านอ๋องโปรดวางใจ เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง หลังจากที่เราสองคนหย่าร้างแล้ว ท่านก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว..."

คำพูดยังไม่ทันที่จะพูดจบ

ซูเมิ่งเยียนรู้สึกว่ากรามของตนเองถูกคนจับเอาไว้ มู่เสี่ยวได้บีบบังคับให้นางจ้องมองไปที่เขา "หวางเฟยเอาแต่พูดว่าหย่า หย่าอยู่ได้ตลอดเวลา หากในใจของเจ้าคิดอยากที่จะหย่าจริงๆ แล้วเมื่อครู่ที่ประตูตำหนักต้องห้าม ผู้ใดกันที่เอาแต่กอดข้าคนนี้?"

อ้อมกอดนั้น ทำให้ความสับสนวุ่นวายภายในหัวใจของเขาสงบลง

ซูเมิ่งเยียนตกใจเล็กน้อย และการตอบสนองหลังจากนั้น กลับเป็นเพียงการจ้องมองมู่เสี่ยวแล้วยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด "เป็นข้าเองที่กอดท่านอ๋อง" นางตอบ

มู่เสี่ยวรู้มานานแล้วว่านางจะตอบสนองเช่นนี้ ถึงจะส่งเสียงฮึดฮัด แต่มือกลับยังไม่ยอมปล่อยนางไป

"ข้าได้ขอโทษไปแล้ว" ซูเมิ่งเยียนกล่าวต่อ "ข้าถูกทำให้ยากลำบากมาถึงสี่วัน เรี่ยวแรงอ่อนแอ คือ...ต้องการที่จะหาคนมาคอยพยุง อีกอย่างคือ..."

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของซูเมิ่งเยียนก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็กล่าวขอโทษอีกครั้งหนึ่ง "ขออภัย ท่านอ๋อง ข้าเพียงแค่...จำคนผิดเท่านั้นเอง"

จำคนผิดไปแล้ว นางเข้าใจผิดว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตที่แล้ว

นางคิดว่าเป็นชีวิตที่แล้วหลังจากที่ถูกโยนเข้าไปในหลิงหย้วน และในที่สุดมู่เสี่ยวได้มาหานาง เพื่อที่จะมาพานางออกไป

มือที่จับคางนางไว้แน่นขึ้นมากะทันหัน สายตาที่ไร้อารมณ์ของมู่เสี่ยวเมื่อครู่กลับเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที "งั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้า เป็นผู้ใดกัน?" ภายในหน้าอกของเขา มีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม

ความโกรธเคือง

ไม่คิดว่านางจะกล้าพูด ว่าจำคนผิดไป? แล้วทีแรกคนที่นางคิดอยากจะกอดเป็นผู้ใดกัน? เฉียวฉู่หรือ? หรือว่ายังมีชายคนอื่นที่เขาไม่รู้อีกอย่างนั้นหรือ?

"เหตุใดท่านอ๋องถึงถามเช่นนี้หรือ?" ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วมุ่น หากนางกล่าวไปตามความจริง ก็กลัวว่าจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นปีศาจ นอกจากนี้...คำพูดนี้ ได้ถามออกมาจากปากของมู่เสี่ยว มันก็มักจะเต็มไปด้วยความเสียดสีอยู่เสมอ

"..." คราวนี้ มู่เสี่ยวไม่พูดอะไรสักคำ

สายตาของซูเมิ่งเยียนหลุบลง แต่ทว่าคางของนางก็ยังถูกบีบไว้จนขยับไม่ได้ จึงมีเพียงแค่ความรู้สึกละอายใจเท่านั้น "ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้ เรื่องที่ท่านช่วยเหลือข้าในวันนี้ ข้าไม่มีวันลืมบุญคุณอย่างแน่นอน แม้ในภายภาคหน้าต้องหย่าร้าง..."

หย่าร้างอีกแล้ว

ภายในใจของมู่เสี่ยวรู้สึกหงุดหงิด และจ้องมองไปยังริมฝีปากของหญิงสาวที่กำลังขยับอยู่ และต่างก็ไม่ได้ยินคำพูดทั้งหมดนั้นอีกแล้ว

ทันใดนั้นเขาก็ก้มศีรษะลง กดลงไป

บนริมฝีปากที่อ่อนนุ่ม

ซูเมิ่งเยียนตกใจไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ และร่างกายของนางก็สั่นสะท้านไปเล็กน้อย

เขากำลังจูบนาง

มือที่เดิมทีตรึงค้างของนางเอาไว้ ก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อย ริมฝีปากของเขากดติดนางไว้แน่น แต่กลับไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงแค่ประทับเอาไว้เอานั้น

ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ดวงตาของซูเมิ่งเยียนจ้องมองเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของมู่เสี่ยว และหัวใจที่ปั่นป่วนของนางก็สงบเงียบลงทันที

เขาไม่ได้หลับตาลง ความเย็นยะเยือกผสมผสานอยู่ในแววตาทั้งคู่อย่างไม่น่าเชื่อ และก็เป็นเพียงแค่จุมพิตที่ไม่มีความอ่อนโยนเลย

ถึงแม้ว่าในคืนนั้น เป็นคนที่นางวางยาเขาก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เริ่มที่จะจูบนางเลย ในความทรงจำ มันไม่ควรที่จะเป็นเช่นนี้...

ซูเมิ่งเยียนตกตะลึงอยู่กับที่ จากนั้นเป็นเวลานาน ก็มีหยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ

บนริมฝีปากเย็บเฉียบเล็กน้อย

และมู่เสี่ยวก็ตอบสนองขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วพบกับดวงตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาหญิงสาว ดวงตาเบิกกว้าง และรีปล่อยนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอยห่างจากนางไปเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถควบคุมความแรงของมือได้ ร่างกายที่เดิมทีแล้วก็อ่อนแอของซูเมิ่งเยียนถูกเขาสลัดออกไปด้านข้างอย่างง่ายดาย จนทำให้แขนของนางกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะอย่างแรงในทันที และเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง

แต่นางกลับไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาเลย นางทำแค่เพียงลูบตรงจุดที่โดนกระแทกอย่างแผ่วเบา ด้วยสีหน้าเครียด

มู่เสี่ยวตกตะลึงเช่นกัน เขาพิงผนังรถม้า เม้มปากเล็กน้อยโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ

เมื่อผ่านไปนาน...

"ถือว่าเป็นค่าตอบแทนหรือไม่?" น้ำเสียงของซูเมิ่งเยียนแผ่วเบา

“อะไรนะ?” มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น

"นี่ถือว่าเป็น...ที่วันนี้ท่านอ๋องไปช่วยเหลือข้าออกมาจากพระราชวัง เช่นนั้นนี่คือค่าตอบแทนใช่หรือไม่?" ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้นมาทันที สายตาของนางจ้องเขม็งไปที่เขาพลางถามขึ้น

มู่เสี่ยวชะงักไปเล็กน้อย และการตอบสนองกลับมาก็มีความโกรธเคืองในดวงตา ไม่คิดว่านาง...เมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ธุรกิจของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเท่านั้น?

"เจ้าคิดเช่นนี้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

ซูเมิ่งเยียนรู้ว่า มู่เสี่ยวโกรธแล้ว นางเข้าใจเขา หากน้ำเสียงยิ่งเบาแสดงว่าเขายิ่งโกรธมาก เพียงแต่นางไม่รู้ว่า เหตุใดเขาจะต้องโกรธด้วย

"หากไม่ใช่เช่นนี้..." นางกล่าวพึมพำ "เป็นเพราะว่าท่านอ๋องเกิดอยากจะจูบข้าขึ้นมากะทันหันเช่นนั้นหรือ?"

“…” คราวนี้ มู่เสี่ยวไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับมาเลย

แต่ซูเมิ่งเยียนกลับหัวเราะออกมา นางหัวเราะจนมู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หยุดลงพลางกล่าวว่า "ในเมื่อท่านอ๋องอยากจูบข้า เช่นนั้น..." ขณะที่นางพูด ก็เลียนแบบท่าทางเมื่อครู่นี้ของเขา แล้วขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น "หากว่าวันนี้ฮัวหย้วนใช้ลงโทษทรมานข้าเป็นส่วนตัว และท่านจะลงมือกับนางหรือไม่?"

ชีวิตที่แล้ว หลังจากที่เขากุมอำนาจไว้ในมือ ฝ่าบาทไม่มีความสามารถตัดสินอะไรได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในพระราชวัง แต่มีเพียงกุ้ยเฟยฮัวหย้วนเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยังคงเสวยพระชาติและโภคสมบัติเช่นเคย

"..." มู่เสี่ยวไม่ตอบกลับ และหลบเลี่ยงสายตาของนาง

ซูเมิ่งเยียนเข้าใจมันแล้ว มู่เสี่ยว...จะไปยอมลงมือกับฮัวหย้วนได้อย่างไรกัน? นั่นคือบุคคลที่เขาวางไว้อยู่จุดบนสุดในหัวใจของเขา

"ข้าเข้าใจแล้ว" นางกล่าวอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเริ่มกลับมาสงบลงอีกครั้ง

"ท่านอ๋อง หวางเฟย ถึงจวนอ๋องแล้วขอรับ" นอกรถม้า เสียงของซวนหยวนก็ดังขึ้นมา

ซูเมิ่งเยียนเกือบที่จะลุกขึ้นในทันที และมู่เสี่ยวก็มองมาที่นางอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายแล้วจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนเกินไป ทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของนางถอยไปด้านหลังจนเกือบจะล้มลง

มู่เสี่ยวเหลือบมองไปที่นาง มือขยับเล็กน้อย ราวกับต้องการที่จะยกมันขึ้น

"องครักษ์ซวนหยวน รบกวนเจ้ามาประคองข้าหน่อย" แต่ซูเมิ่งเยียนกลับเปล่งเสียงออกไปแล้ว จากนั้นก็เปิดม่านรถออก

ซวนหยวนตอบรับ และได้ประคองนางลงจากรถม้าไป ที่เบื้องหลัง มือของมู่เสี่ยวก็ลดลงไปอีกครั้ง และจากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น

ที่หน้าประตูจวนอ๋อง ชิวซวงยืนรออย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลานานนานมากแล้ว ทันทีที่มองเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของซูเมิ่งเยียนถูกประคองลงมาจากรถม้า รอบดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง และก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองเอวของนางเอาไว้ "คุณหนู ท่านทำให้ชิวซวงตกใจจะตายอยู่แล้ว..." นำเสียงของนางสะอึกสะอื้นมากยิ่งขึ้นอีก

ซูเมิ่งเยียนหรี่ตาของนางแล้วยิ้มออกมา "เอาล่ะชิวซวงไม่ต้องร้อง ข้าเพียงแค่...รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย..." หลังจากพูดจบ นางก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปภายในจวนอ๋อง

ที่เบื้องหลัง มู่เสี่ยวกระโดดลงมาจากรถม้า "ไม่สบายเล็กน้อย" ที่อยู่บนรถม้าเป็นเวลานานเมื่อครู่นี้ นางไม่ได้แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้...นางกลับพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

แล้วยังมีคำว่า "คุณหนู" นั้นยิ่งได้ยินก็ยิ่งระคายหูเสียจริง...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน