องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 1299

เสนาบดีกรมพระคลังรีบโบกมือปัดและอธิบาย

“ฝ่าบาท พวกเราเริ่มจากส่วนที่ง่ายที่สุดกันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เรื่องอ๋องเหยียนสร้างโรงเรียนฝ่าบาททรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? สร้างโรงเรียนให้ประชาชนชาวอาณาจักรฉินเข้าศึกษาฟรี”

“ข้ารู้ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรด้วย?”

“เป็นการใช้เงินจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ หากมองไปรอบๆ แม้แต่เมืองที่เล็กที่สุดนั้นยังมีโรงเรียนของอาณาจักรฉิน โรงเรียนหนึ่งแห่งคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาททรงคิดบ้างหรือไม่ว่าตอนนี้อาณาจักรฉินมีทั้งหมดกี่เมืองแล้ว?”

ฉินชงพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “สองสามร้อยเมือง?”

เสนาบดีกรมพระคลังพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ฝ่าบาท เมื่อทั้งเก้าแคว้นได้ถูกรวมเข้าด้วยกัน ทำให้มีเมืองเพิ่มขึ้นกว่าสองพันกว่าเมือง จำนวนนี้ยังไม่นับหัวเมืองใหญ่ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“เฮือก!”

ฉินชงสูดลมหายใจเข้าไป อักทั้งยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เสนาบดีกรมพระคลังรายานมานั้นจะเป็นตัวเลขจำนวนมากขนาดนี้

เสนาบดีกรมพระคลังกราบทูลต่อไปว่า “ฝ่าบาท ไม่เพียงแต่การสร้างโรงเรียนเท่านั้นที่แพง แต่บรรดานักเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโรงเรียนสูงกว่าค่าก่อสร้างเสียอีก ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าการปลูกฝังและผลักดันให้ประชาชนมีความรู้ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” ฉินชงพูดอย่างไม่พอใจ

เสนาบดีกรมพระคลังพูดอย่างจริงจังว่า “กระหม่อมคำนวณมาแล้วพ่ะย่ะค่ะว่าต้องเสียเงินอย่างน้อยปีละห้าร้อยตำลึงต่อหัว เพื่อฝึกคนให้เก่ง ให้ท่องบทกลอนที่ถูกต้องได้ นี่เป็นแค่การลงทุนความสามารถแบบธรรมดาๆ เท่านั้น อีกทั้งการฝึกฝนเช่นนี้ต้องฝึกอย่างน้อยสิบปีพ่ะย่ะค่ะ”

ตาของฉินชงเบิกกว้าง เขาจำได้ว่ามีนักวิชาการที่มีความสามารถจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคนจากทั่วอาณาจักรเคยเข้าร่วมการสอบ

การลงทุนด้านนี้เพียงด้านเดียว ใช้เงินกว่าสองสามร้อยล้านต่อปีเชียวหรือ?

หากไม่คิดมาก่อนคงจะไม่รู้ เมื่อคิดคำนวณแล้วทำให้เขาตกใจมากจริงๆ

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสนาบดีกรมพระคลังยังพูดต่อไปว่า “นี่ยังไม่รวมค่าเดินทาง ค่าที่พักของนักวิชาการเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อนักวิชาการทุกคนต้องเข้าร่วมการจัดสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ค่าเดินทางอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบตำลึง และเงินจำนวนนี้ทางการเป็นคนชำระ ประการที่สองยังมี...”

ฉินชงรู้สึกปวดหัว เพียงแค่จัดสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ กรมพระคลังต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยล้านตำลึงเพื่อออกค่าใช้จ่ายให้กับนักวิชาการหรือ?

ต่อให้เขาใช้เงินเอง ใช้จ่ายรอบละหลักสิบตำลึงไม่กี่รอบก็แทบทำใจไม่ได้แล้ว หรือต่อให้สร้างตำหนักใหม่ที่ใช้แค่เงินไม่กี่แสนก็เพียงพอ เขายังไม่กล้าใช้ด้วยซ้ำ

แต่ฉินเหยียน กลับใช้เงินไปมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตำลึง ไม่แปลกใจที่เงินในท้องพระคลังจะหมด

ไม่เพียงแค่นั้น เสนาบดีกรมพระคลังยังบ่นอุบอิบขึ้นว่า

“ฝ่าบาทลองพิจารณาโรงงานเหล็กของอ๋องเหยียนที่กำลังจะสร้างเร็วๆ นี้ เขามาหากระหม่อมเพื่อขอเงินแปดสิบล้าน อีกอย่างเมื่อพูดถึงท่าเรือที่อ๋องเหยียนกำลังสร้างเมื่อปีที่แล้ว ใช้เงินไปกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบล้านตำลึง นอกจากนี้...”

“หยุดๆๆ พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉินชงขัดจังหวะเขา เขารู้สึกว่าหากเสนาบดีกรมพระคลังยังพูดต่อไป เขาคงทนไม่ไหวแน่

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจปัญหาของเจ้าแล้ว หยุดพูดเสียที”

เสนายดีกรมพระคลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์