ตอนที่ 173 รักอีกสักครั้ง
ความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของเพลงธีมในประเทศ เต้นไปตามจังหวะชีพจรของยุคสมัย
เพลงธีมเจริญเฟื่องฟูในปี 1950 ตอนนั้นประเทศเพิ่งจะก่อตั้งและต้องปรับปรุงใหม่ทุกอย่าง สังคมจึงเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา จึงเกิดผลงานอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเพื่อสะท้อนถึงยุคสมัย และกำเนิดผลงานเพลงคลาสสิคอีกมากมาย
พอถึงยุค 70-80 ประเทศจีนรวมเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ มีการปฏิรูปและเดินเข้าสู่ความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง ชีวิตความเป็นอยู่และการใช้วัตถุสิ่งของของประชาชนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ด้านทำนองเพลงของเพลงธีมก็เดินไปตามจังหวะของยุคสมัยอย่างใกล้ชิด และนักร้องหนุ่มมีชื่อเสียงจำนวนมากก็ล้นทะลักออกมา ทุกวันนี้ก็ยังสร้างผลงานและมีบทบาทต่างๆ ซึ่งเป็นกระแสหลักอยู่
หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ เพลงธีมกับเพลงบัดลาดและเพลงป็อปก็คล้ายๆ กัน เพลงคลาสสิคเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ สไตล์ก็คล้ายกัน เอาเพลงเก่ามาเล่นใหม่ ค่อยๆ สูญเสียตำแหน่งเดิมของตัวเองไปช้าๆ
แต่ในด้านการเมือง พลังชีวิตของเพลงธีมยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม งานเทศกาลสำคัญมากมายในประเทศอย่างเช่นงานวันชาติจีน วันกองทัพจีน วันชัยชนะเหนือญี่ปุ่นเป็นต้น มักจะใช้เพลงธีมเป็นตัวเอกของงานมาตลอด
เหมือนกับงานเลี้ยงวันชาติจีนในปี 2015 ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง รายการร้องและเต้นมากกว่าสิบห้ารายการ ที่ยึดสัดส่วนถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพลงธีมที่อยู่ในนั้นก็มีมากกว่าสิบเอ็ดเพลง
งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงเรตติ้งของผู้ชม
ลู่เฉินถูกเลือกให้มาร้องแทน ดังนั้นตอนที่กู่รุ่ยยอมให้เขาร้องเพลงธีมนั้น เขาจึงรีบนึกถึงความทรงจำของตัวเองทันที ซึ่งมีเพลงธีมคลาสสิคมากมายอยู่ในโลกของความฝัน
แต่เพลงที่เลือกได้มีเยอะเหลือเกิน จะหยิบเพลงไหนออกมาใช้ก็สามารถสยบเวทีได้
อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่นเลย แค่เพลง ‘ฉันรักคุณประเทศจีน’ ก็มีถึงสองเวอร์ชั่นแล้ว นอกจากเวอร์ชั่นที่ลู่เฉินเพิ่งจะร้องไปเมื่อครู่ ก็ยังมีอีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่คลาสสิคกว่า และยังเป็นสไตล์เพลงธีมอย่างแท้จริง
แต่หลังจากที่ผ่านการพิจารณาแล้ว ลู่เฉินจึงเลือกเวอร์ชั่นในปัจจุบันออกมาก่อน
เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็คือสไตล์ของการแต่งและร้องเพลง
เวอร์ชั่นอีกอันหนึ่งมีความคลาสสิคที่โดดเด่น และเหมาะสมกับความต้องการยิ่งกว่า แต่มีความแตกต่างจากสไตล์ผลงานเพลงอันก่อนๆ ของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งทำนองเพลง เนื้อเพลง และรวมทั้งวิธีการร้อง
และเวอร์ชั่นนี้ของเพลง ‘ฉันรักคุณประเทศจีน’ ก็มีท่วงทำนองและการแสดงความรู้สึกที่ไม่เลว ใช้วิธีของการกดความรู้สึกและอารมณ์เอาไว้จากนั้นก็ค่อยปล่อยพลังเสียงออกมา ดังนั้นสิ่งที่ต้องสื่อก็คือความรู้สึกขอบคุณ ความรักใคร่ ความกระตือรือร้นและการอวยพรของมารดาแห่งมาตุภูมิ
ถึงแม้จะใส่ดนตรีประกอบแบบลวกๆ ชั่วคราว แต่ตอนที่ลู่เฉินร้องเพลงก็แสดงความรู้สึกที่จริงใจออกมาอย่างแท้จริง
และเนื้อเพลงสองประโยคที่ร้องว่า “ฉันรักคุณประเทศจีน แม่สุดที่รักของฉัน ฉันเสียน้ำตาให้คุณและภูมิใจในตัวคุณ!” ที่ร้องซ้ำไปซ้ำมากว่าสิบรอบ และแต่ละรอบก็ยิ่งดุดันมากขึ้น!
สำหรับ ‘ผู้ฟัง’ ที่อยู่ในนี้แล้ว อย่างแรกพวกเขารู้สึกถึงความแปลกใหม่
ไม่เคยฟังเพลงธีมแบบนี้มาก่อนจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่าเพลง ‘ฉันรักคุณประเทศจีน’ ของลู่เฉิน ไม่ใช่สไตล์เพลงธีมทำนองเพลงหลักเหมือนที่ทุกคนคุ้นเคย แต่มันเน้นไปทางแนวป็อป ผสมผสานกับความเป็นร็อกเบาๆ ทำให้คนรู้สึกถึงความแปลกใหม่
และอารมณ์ที่แสดงออกมาจากการร้องเพลงของลู่เฉิน ก็ทำให้คนรู้สึกประทับใจอีกครั้ง!
จึงเป็นเพลงที่ดีเพลงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเกาจื้อเสวี๋ยก็ฟังอย่างเพลิดเพลิน เขามองข้ามข้อเสียของดนตรีประกอบไปทั้งหมด แล้วพยักหน้าหงึกๆ ไปตามทำนองเพลง
แม้แต่กู่รุ่ยเองก็มาปรากฏอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้
จนกระทั่งลู่เฉินร้องเพลงจบ
เสียงปรบมือคึกคักก็ดังขึ้นภายในห้องถ่ายทำรายการทันที
ถึงแม้ในงานจะมีแค่หนึ่งร้อยกว่าคน แต่บรรยากาศที่สร้างขึ้นมานั้นก็ไม่แย่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นยืนและปรบมือ
“หัวหน้าเกา คุณคิดว่าเพลงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
กู่รุ่ยยิ้มถามด้วยความภูมิใจเล็กๆ
เขาเสี่ยงตายเพื่อแนะนำลู่เฉิน แต่ลู่เฉินก็ไม่ทำให้เขาต้องขายหน้า และทำให้เขาได้หน้าอย่างแท้จริง!
เกาจื้อเสวี๋ยได้สติกลับมา พอเห็นกู่รุ่ย จึงหัวเราะทันที “ไม่เลว ลู่เฉินแต่งเพลงนี้เองใช่ไหม ผมไม่เคยฟังมาก่อน”
ผลงานเพลงแบบนี้ถ้าหากไม่ได้แต่งขึ้นมาใหม่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เคยฟัง
กู่รุ่ยพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่”
เกาจื้อเสวี๋ยอุทาน “เด็กหนุ่มสมัยนี้เก่งจริงๆ เก่งกว่ารุ่นก่อนเรื่อยๆ!”
ตอนที่เกาจื้อเสวี๋ยพูดประโยคนี้ ก็ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของหัวหน้าหลวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา
หลวี่เจิ้งจื๋อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปตบไมค์บนโต๊ะที่วางอยู่ตรงหน้า
พรุๆ!
เขาถามว่า “พ่อหนุ่ม คุณเป็นคนเขียนเพลงเองใช่ไหม”
ลู่เฉินตอบว่า “ใช่ครับ”
เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นมาจากผู้ชมที่นั่งอยู่ในนี้ ทุกคนล้วนชื่นชมกับความสามารถของลู่เฉิน
หลวี่เจิ้งจื๋อขยับก้นอย่างไม่ค่อยพอใจ เขานั่งตัวตรง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พ่อหนุ่ม เนื้อเพลงในผลงานเพลงของคุณพอใช้ได้ และเชื่อมั่นในความสามารถของการแต่งเพลงของคุณ แต่สไตล์ไม่เข้ากับงานเลี้ยงวันชาติจีนเป็นอย่างมาก พวกเราจำเป็นต้องพิจารณากันอีกที”
อะไรนะ
เกาจื้อเสวี๋ย กู่รุ่ยและทีมงานของสถานีโทรทัศน์ทุกคนที่อยู่ในนี้ต่างตกตะลึงนิ่งอึ้ง
เพลงนี้ไม่เหมาะสมกับงานเลี้ยงวันชาติจีนเป็นอย่างมาก ทำไมถึงพูดแบบนี้
หลวี่เจิ้งจื๋อคิดว่าตัวเองยังพูดไม่ชัดเจนพอ จึงเสริมอีกหนึ่งประโยค “หมายความว่า ลักษณะเด่นของเพลงธีมยังไม่ปรากฏออกมา มันเหมือนเพลงป็อปธรรมดามากเกินไป”
เหตุผลนี้…
เกาจื้อเสวี๋ยพูดไม่ออก แบบนี้คือพยายามหาข้อตำหนิทั้งๆ ที่ไม่มีใช่ไหม
กู่รุ่ยร้อนใจทันที สีหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมา แล้วบ่นว่า “นี่…”
ผู้อำนวยการเพลงของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งคนนี้ชื่นชมลู่เฉินมาก และยังชื่นชอบเพลง ‘ฉันรักเธอประเทศจีน’ เพลงนี้ของลู่เฉิน
ถึงแม้ในฐานะของเพลงธีมแล้ว เพลงนี้อาจจะแหวกแนวไปหน่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นทำนองหรือเนื้อร้องล้วนมีความโดดเด่น หรือหากจะพูดจริงๆ ก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จากความรุ่งเรืองไปจนถึงความเสื่อมถอยของเพลงธีม มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ และควรที่จะให้กำลังใจหรือสนับสนุนถึงจะถูก
แต่กลับเอาไม้กระบองมาทุบตีให้ตายแบบนี้ได้อย่างไร!
กู่รุ่ยผู้ที่มีนิสัยตรงไปตรงมาและไม่ชอบความไม่ยุติธรรม จึงอยากจะโต้เถียงกับหลวี่เจิ้งจื๋อทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar