ตอนที่ 238 คนที่โชคดีที่สุด
แน่นอนว่าลู่เฉินรู้จักเลี่ยวเจี่ยอยู่แล้ว
ตอนที่เขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นก็เคยฟังเพลงของเลี่ยวเจี่ย จวบจนวันนี้อัลบั้มเพลง ‘ขั้วโลกใต้’ ‘ไอวี่เฮาส์’ และ ‘คนเก่า’ ของวงแบล็กเมมโมรี่ก็ยังอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดของเขา เป็นผลงานเพลงร็อกคลาสสิคที่ฟังบ่อยจนสามารถ อธิบายรายละเอียดได้
แต่ตัวจริงเพิ่งจะได้เจอวันนี้
ดังนั้นลู่เฉินจึงรู้สึกอึดอัดใจมาก ทำไมเลี่ยวเจี่ยต้องมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเขาด้วยล่ะ
อีกฝ่ายเข้าวงการมานานกว่ายี่สิบปี ส่วนเขาเพิ่งเข้ามาได้แค่สองสามเดือนเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายไม่เคยมี ปฏิสัมพันธ์ใดๆ มาก่อน
แน่นอนว่ามองจากภายนอก ลู่เฉินก็ยังกล่าวด้วยความเกรงใจโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “รบกวนช่วยชี้แนะ ด้วยนะครับ”
เลี่ยวเจี่ยกระตุกมุมปาก “ไม่ต้องเกรงใจ”
ตามหลักแล้วถานหงควรจะมองออกถึงความผิดปกติ แต่เขากลับทำเป็นไม่เห็น ลากลู่เฉินไปพบ อวี๋เจี้ยนเต๋อต่อ
“ผู้กำกับอวี๋ คนนี้คือลู่เฉินครับ…”
ถานหงกล่าวแนะนำลู่เฉิน “เป็นคนที่เขียนเพลงมอบความรักครับ”
ลู่เฉินรีบโน้มคำนับทันที “สวัสดีครับอาจารย์อวี๋!”
“สวัสดีๆ”
อวี๋เจี้ยนเต๋อยิ้มกริ่มพลางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นคนหนุ่มมีความสามารถจริงๆ เขียนเพลงนี้ได้ไม่เลว มีพลังและมีจิตวิญญาณมาก”
สำหรับผู้กำกับใหญ่คนนี้ นี่คือคำชมที่ยากจะได้รับ
ลู่เฉินถ่อมตัว “ขอบคุณอาจารย์อวี๋ที่ชมครับ”
อวี๋เจี้ยนเต๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉันได้ยินน้องเหวินเทียนพูดถึงนาย บอกว่านายมีความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลงานมาก”
ลู่เฉินรู้ว่า ‘น้องเหวินเทียน’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ก็คือจางเหวินเทียนแน่นอน ทั้งสองคนเป็นผู้กำกับในยุคเดียวกัน จึงเป็นเรื่องปกติมากที่มีมิตรภาพลึกซึ้งต่อกันและกัน
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจางเหวินเทียนจะเคยพูดถึงเขาให้อวี๋เจี้ยนเต๋อฟัง
ลู่เฉินจึงรู้สึกเหมือนได้รับความเมตตาไม่น้อย
ในวงการบันเทิง หากจะพูดถึงตำแหน่งสูงต่ำ ผู้กำกับถูกจัดอยู่หน้าสุดเสมอ
เหมือนผู้กำกับอย่างอวี๋เจี้ยนเต๋อที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศ ใช่ว่าศิลปินดาราจะเทียบเคียงได้
และมีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถจัดการดาราตัวท็อปสิบกว่าคนที่อยู่ในนี้ได้อย่างสบาย
อวี๋เจี้ยนเต๋อมีท่าทางที่ดีมากกับลู่เฉิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นคุณค่าในความสามารถของเขาจริงๆ หรือเปล่า แถมยังให้ผู้ช่วยเอานามบัตรของตัวเองให้กับเขา บอกว่าเผื่อมีโอกาสได้ร่วมงานกัน
นักแสดงดาราคนอื่นที่อยู่ในนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองลู่เฉินสูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
บวกกับการแนะนำของถานหง ลู่เฉินจึงวางรากฐานที่มั่นคงในแวดวงเล็กๆ แห่งนี้ได้โดยไม่รู้ตัว
อย่าเห็นว่านี่เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นชั่วคราว หลังจากถ่ายมิวสิควิดีโอเสร็จแล้วทุกคนก็ต้องแยกย้าย เพราะสามารถพาตัวเองเข้ามาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ได้ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง และการที่ได้รับการยอมรับ จากสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ลู่เฉินรู้สึกขอบคุณถานหงมากจริงๆ
จะว่าไปแล้วถานหงก็ดูแลเขามาตลอด แต่เขากลับไม่มีอะไรตอบแทน
ถ้าเป็นเฉินเฟยเอ๋อร์เขาก็ยังเขียนเพลงให้เธอได้ แต่ถานหงใกล้จะอำลาวงการเพลงแล้ว
การประชุมเล็กๆ เริ่มต้นตรงเวลาในเวลาเก้าโมงครึ่ง อวี๋เจี้ยนเต๋อทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผู้กำกับใหญ่คนนี้ อธิบายเนื้อหาการถ่ายทำโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์ตัวนี้ ให้ทุกคนฟังด้วยคำพูดที่สั้นกะทัดรัดได้ใจความ รวมทั้งอธิบายลำดับงานไปพร้อมกันด้วย
เขาใช้เวลาอธิบายเพียงสิบนาทีเท่านั้น จากนั้นก็ให้ทุกคนไปที่สตูดิโอบันทึกเสียง
ดาราศิลปินสิบห้าคนร่วมร้องเพลง ‘มอบความรัก’ ไม่เพียงแค่บันทึกเสียงในสตูดิโออัดเสียง ของเฟยสือเรคคอร์ดเท่านั้น แต่ยังถ่ายทำขั้นตอนการร้องเพลงบันทึกเสียงของพวกเขา เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่ง ในเนื้อหาของมิวสิควิดีโอเพลงนี้ด้วย
เพลง ‘มอบความรัก’ เพลงนี้ร้องไม่ยาก ด้วยความที่เป็นโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคการร้องเพลงมากนัก ดังนั้นส่วนใหญ่ร้องเพียงสองสามรอบก็ผ่านแล้ว แท้จริงแล้วงานส่วนใหญ่จะถูกตัดต่อแก้ไขเบื้องหลังอีกที
ถานหง เลี่ยวเจี่ย เฉินเฟยเอ๋อร์ร้องกันทีละคน มีบางคนร้องสองคนหรือหลายคนรวมกัน สุดท้ายทั้งหมด สิบห้าคนก็ร้องประสานเสียงพร้อมกัน การบันทึกเสียงและบันทึกภาพเสร็จสิ้นในขณะเดียวกัน
ตอนกลางวันทุกคนทานข้าวกล่องที่บริษัทเฟยสือเรคคอร์ด แม้ดาราดังตัวท็อปทั้งหลายที่อยู่ในนี้ แต่ละคนล้วนมีค่าตัวสูงไม่ธรรมดา แต่ไม่มีใครที่รู้สึกไม่พอใจกับข้าวกล่องราคาสิบกว่าหยวนนี้
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทีมงานก็ย้ายไปถ่ายทำต่อที่สถานสงเคราะห์ ในเครือของสหพันธ์การกุศลเหยียนหวง
ดารา โดยเฉพาะดาราใหญ่ ปกติงานของพวกเขาจะถูกจัดแน่นเอียดเสมอ ทุกคนสามารถเจียดเวลามาร่วม ถ่ายทำมิวสิควิดีโอตัวนี้อย่างพร้อมเพรียงกันได้ แถมยังเป็นงานฟรีอีกด้วย ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
รวมทั้งอวี๋เจี้ยนเต๋อด้วย พูดตามจริงประโยชน์สูงสุดของเขาก็คือการคุมงาน ไม่ใช่การทำหน้าที่ผู้กำกับ
สหพันธ์การกุศลพอที่จะเข้าใจจุดนี้ สำหรับความต้องการด้านคุณภาพของโฆษณา เพื่อสาธารณประโยชน์ตัวนี้ไม่สูงนัก ประเด็นหลักคือสามารถแสดงแนวคิดหลักของหัวข้อออกมาได้ก็พอ และการร่วมแสดงของดารานักแสดงสิบห้าคนก็คือไฮไลต์ที่สำคัญที่สุดของงานนี้
บวกกับการเตรียมงานล่วงหน้าอย่างเต็มที่ ดังนั้นการถ่ายทำที่สถานสงเคราะห์จึงผ่านไปอย่างราบรื่น ผู้กำกับใหญ่อวี๋เป็นคนสั่งการด้วยตัวเอง สั่งคัตๆ ๆ อย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดินก็ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ง่ายเหมือนหั่นแตงหั่นผักก็ไม่ปาน
เหลือแค่เพียงงานตัดต่อเบื้องหลังเท่านั้น
ประสิทธิภาพที่สูงแบบนี้น่าขนลุกมาก แต่สำหรับโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์ที่มีดาราแบบนี้ ร่วมแสดงเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้วทุกคนจึงนั่งรถบัสกลับไปที่บริษัทเฟยสือเรคคอร์ด จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ตอนที่ออกมา ลู่เฉินกำลังคิดว่าจะนัดเฉินเฟยเอ๋อร์ไปทานข้าวเย็นด้วยกันดีไหม ปรากฏว่าเขาถูกเด็กหนุ่ม สวมเสื้อสูทกับรองเท้าหนังคนหนึ่งขวางทางเอาไว้
อีกฝ่ายตัดผมทรงหวีเสยหรือสลิกแบ็ก สวมแว่นตาดำ ท่าทางเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมและมีความสามารถมาก
เขาพูดกับลู่เฉินอย่างสุภาพมาก “คุณลู่เฉินครับ พี่เลี่ยวให้ผมมาถามว่าตอนเย็นคุณว่างไหม เขาอยากทานข้าว กับคุณ และอยากคุยด้วยสักสองสามประโยค คุณคิดว่ายังไงครับ”
พี่เลี่ยว? เลี่ยวเจี่ยเหรอ?
ลู่เฉินเลิกคิ้ว ยัดโทรศัพท์ที่เพิ่งควักออกมาเมื่อครู่กลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา”
ภายใต้การเดินนำของเด็กหนุ่มคนนี้ ลู่เฉินไปขึ้นรถของเลี่ยวเจี่ย
เลี่ยวเจี่ยนั่งรถจี๊ปออฟโรดสายลุย รุ่น G790 รถคันนี้ภายนอกดูแข็งแกร่งมั่นคงและทรงพลังมาก ราคาขายมากกว่าหนึ่งล้านหยวน
เลี่ยวเจี่ยมีชื่อเสียงในด้านการคบเพื่อนและท่องเที่ยว ได้ยินว่าเขาเคยตั้งคาราวานรถกับเพื่อนๆ ขับรถไปที่พื้นที่ไร้มนุษย์อาศัยของซินเจียงตะวันตก ถือว่าเป็นต้นฉบับของคุณชายเสเพล
พอเห็นลู่เฉิน พี่ใหญ่เพลงร็อกคนนี้ก็ถามว่า “กินเผ็ดได้ไหม”
ลู่เฉินตกตะลึง แต่ก็ยังพยักหน้า “ได้ครับ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar