สรุปเนื้อหา ตอนที่ 239 แข่งดื่มเหล้า – (นิยายแปล) Perfect Superstar โดย Internet
บท ตอนที่ 239 แข่งดื่มเหล้า ของ (นิยายแปล) Perfect Superstar ในหมวดนิยายSlice of Life เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 239 แข่งดื่มเหล้า
ถนนซื่อหมิงเป็นถนนร้านอาหารแผงลอยที่มีน้อยมากในเมืองหลวง
เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนและมลพิษ เมื่อสิบกว่าปีก่อนจึงห้ามไม่ให้มีร้านอาหารริมทางหรือร้านอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดยามค่ำคืนอีก แต่ประชนและนักท่องเที่ยวก็มีความต้องการในด้านนี้ ดังนั้นจึงกำหนดย่านร้านอาหารริมทางขึ้นมาใหม่ รวมทั้งเพิ่มการจัดการและควบคุมโดยเฉพาะ ทำให้กลายเป็นสถานที่โปรดของเหล่านักกิน
มีนักกินหลายท่านเชื่อว่า มีแค่สถานที่ที่มีร้านสตรีทฟู้ดแบบนี้ ที่ทำให้ได้รู้จักอาหารอร่อยรสต้นตำรับ
การไปรับประทานอาหารในโรงแรมหรู เป็นแค่การรับประทานเพื่อรักษาหน้าตาเท่านั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทัศนคติแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ ทว่ากิจการของถนนซื่อหมิงนั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินลับฟ้าไปแล้ว ร้านค้าริมถนนเปิดไฟสว่างจ้าทั้งหมด โคมแดงเรียงยาวเป็นแถวมองแล้วดูคึกคักรื่นเริงเป็นอย่างยิ่ง
โต๊ะเก้าอี้ที่วางเต็มหน้าร้านอาหารแผงลอยต่างๆ พอถึงเวลากินข้าวก็มีที่นั่งเหลือไม่มากนัก กลิ่นหอมของอาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนึ่ง ต้ม ผัด หรือทอดลอยอยู่กลางอากาศ…ทำให้คนรู้สึกถึงความสวยงามของชีวิต!
ถนนซื่อหมิงเป็นถนนคนเดิน ดังนั้นรถราจึงจอดได้ที่ลานจอดรถข้างนอกเท่านั้น
ตอนที่ลงจากรถ เลี่ยวเจี่ยดึงแว่นตาดำออกมาสวม จากนั้นก็เอาแว่นอีกอันให้ลู่เฉิน
“ใส่เถอะ คนอย่างพวกเรา ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปแล้ว”
ลู่เฉินครุ่นคิดความหมายแฝงลึกซึ้งในคำพูดของเขา และไม่ปฏิเสธความหวังดีของเขา นำแว่นตามาสวมใส่
เลี่ยวเจี่ยพาลู่เฉินมาที่ร้านอาหารแผงลอยชื่อว่า ‘ร้านอาหารเสฉวนเหล่าจู้’ อาหารหลักคืออาหารเสฉวนแบบต้นตำรับแท้ๆ แต่ก็ขายกุ้งเครย์ฟิชผัดหมาล่าด้วย กิจการรุ่งโรจน์โชติช่วงมากกว่าเตาไฟที่อยู่หน้าร้านเสียอีก มากมายไปด้วยบรรดานักกินเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ
ทว่ามีโต๊ะเล็กๆ ข้างนอกตัวหนึ่งที่เหลือไว้ให้พวกเขา
เลี่ยวเจี่ยหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีขาวอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวหลี่รู้จักเถ้าแก่ จึงโทรมาจองโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามาตอนนี้คงหาโต๊ะว่างไม่เจอ”
เสี่ยวหลี่ก็คือเด็กหนุ่มทรงผมหวีเสยที่ดูฉลาดคนนั้น เป็นผู้ช่วยและคนขับรถของเลี่ยวเจี่ย และเป็นคนพูดน้อยมาก
ลู่เฉินนั่งลงตรงข้ามเขา ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ต้องลองชิมฝีมือของพ่อครัวแล้วครับ”
เสี่ยวหลี่โบกมือเรียกพนักงาน เขาถามความคิดเห็นของเลี่ยวเจี่ยกับลู่เฉินก่อน จากนั้นจึงเริ่มสั่งอาหาร
“ปลาไนต้มผักดองเสฉวน เต้าหู้ทรงเครื่อง หมูสามชั้นกลับกระทะ เลือดเป็ดต้มเผ็ด…แล้วก็กุ้งเครย์ฟิชผัดหมาล่าสองกิโลครึ่ง ขอตัวใหญ่ๆ นะ!”
หลังจากเสี่ยวหลี่สั่งเสร็จแล้ว เลี่ยวเจี่ยก็ถามลู่เฉินว่า “อาหารพอหรือเปล่า หรือว่านายอยากสั่งที่ตัวเองชอบสักสองสามอย่างไหม”
ลู่เฉินเอ่ยว่า “พอแล้วครับ ขอบคุณพี่เลี่ยวด้วย”
เลี่ยวเจี่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “นายอย่าเพิ่งขอบใจฉัน มากินข้าวกับฉันจะต้องดื่มเหล้านะ ดื่มเบียร์เป็นไง”
ตามนิสัยเก่าของเขา จับตัวลู่เฉินมาแล้วจะต้องให้ดื่มเหล้าขาวหงซิงเอ้อร์กัวโถว
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจลู่เฉินก็อยู่ในส่วนของความไม่พอใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกเลื่อมใสในความสามารถของลู่เฉินมากจึงไว้หน้าลู่เฉินสักหน่อย
ตอนที่เลี่ยวเจี่ยได้ฟังเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ของวงเฮสิเทชั่นเป็นครั้งแรก เขาถึงกับตะลึงงัน ต่อมาภายหลังได้ยินว่าเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เป็นคนแต่ง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ
ในด้านนี้เขายอมรับความพ่ายแพ้จากลู่เฉินด้วยความจริงใจ และอยากหาโอกาสเจอหน้าลู่เฉินสักครั้ง
ผลสรุปคือยังไม่เจอหน้าลู่เฉิน เขาก็รู้ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์จากปากของถานหงเสียก่อน
ตอนนั้นเลี่ยวเจี่ยรู้สึกว่าตัวเองซวยบัดซบจริงๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความคิดของเลี่ยวเจี่ยมีความสับสนซับซ้อนมาก แต่ใช่ว่าอยากจะทำศึกชิงรักหักสวาทอะไรกับลู่เฉิน เพราะเขาไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น แต่ความอัดอั้นตันใจที่อยู่ในใจหากไม่ระบายออกคงแย่แน่ๆ
ดังนั้นวันนี้จึงถือโอกาสที่ได้เจอหน้ากัน เขาจะจัดการลู่เฉินเสียหน่อย
ประเด็นสำคัญคือ เลี่ยวเจี่ยอยากจะดูว่า ผู้ชายที่เฉินเฟยเอ๋อร์เลือกเป็นคนอย่างไรกันแน่!
อีกทั้งถานหงก็ยังแนะนำลู่เฉินให้เขารู้จัก เห็นได้ชัดว่าอยากจะให้ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน
อยากจะเป็นเพื่อนกับเลี่ยวเจี่ย ไม่ดื่มเหล้าไม่ได้หรอกนะ!
ลู่เฉินครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ครับ!”
เป๊าะ!
เลี่ยวเจี่ยดีดนิ้วอย่างเท่ แล้วเอ่ยว่า “น้อง เอาบัดไวเซอร์ขวดเล็กให้พวกเราสองลัง”
บัดไวเซอร์สองลังถูกเอามาเสิร์ฟก่อน
เสี่ยวหลี่ฉีกเทปกาวที่ปิดอยู่อย่างคล่องแคล่ว หยิบเบียร์ออกมาสองขวด ขวดหนึ่งให้เลี่ยวเจี่ย อีกขวดหนึ่งให้ลู่เฉิน
เลี่ยวเจี่ยจับขวดเบียร์แล้วบิดฝา จากนั้นพูดกับลู่เฉินว่า “มา พวกเราดื่มกันก่อนหนึ่งขวด!”
ลู่เฉินกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แล้วจึงบิดฝาเบียร์ชนขวดกับอีกฝ่าย “ชน!”
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจนิสัยของเลี่ยวเจี่ยแล้ว
ในวงการมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลี่ยวเจี่ยไปในทางเสียหายมากกว่าครึ่ง ไม่เหมือนถานหงที่หลายคนให้ความเคารพ มีบางคนคิดว่าเลี่ยวเจี่ยเป็นมิตรคบเป็นเพื่อนง่าย นิสัยตรงไปตรงมาไม่เล่นพิเรนทร์หักหลัง แต่ก็มีบางคนคิดว่าเขานิสัยแย่ ชอบด่าคนโมโหไปทั่ว
วันนี้ได้เจอตัวจริงแล้วสมคำร่ำลือจริงๆ
ลู่เฉินรู้ว่าคนแบบนี้ ถ้าหากมีนิสัยเข้ากับเขาได้ ก็จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีมาก ถ้าหากไม่ชอบใจ เช่นนั้นไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่ชอบ การเคารพรักอยู่ห่างๆ คือตัวเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด…หาเรื่องไม่ได้แล้วหลบไม่ได้เหรอ?
เลี่ยวเจี่ยชอบเฉินเฟยเอ๋อร์และยังตามจีบเธอ ผลสรุปว่าตามจีบมาสิบปีก็ไม่สำเร็จ ถ้าหากเห็นลู่เฉินแล้วยังหัวเราะยิ้มร่าเรียกว่าเพื่อนกัน เช่นนั้นลู่เฉินจะต้องหลบให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้เขามาหาลู่เฉินและกล่าวอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่คิดและปล่อยวางเป็น ไม่ได้คิดร้ายอะไรมากนัก
แต่ในใจของเขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี การแข่งดื่มเหล้ากับลู่เฉินคือวิธีระบายความโกรธอย่างหนึ่ง
เวลานี้ถ้าหากลู่เฉินยังยึกยักปฏิเสธ ไม่เพียงแต่จะลดฐานะทำให้ตัวเองเสียหน้า ยังเป็นการดูถูกคนอื่นอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงยอมดื่มหมดขวดอย่างเต็มที่!
แน่นอนว่าการดื่มเหล้าของลู่เฉินไม่อาจเทียบกับพวกขี้เหล้าตัวจริงได้ แต่การดื่มเบียร์ที่มีดีกรีต่ำมากขนาดนี้ คาดว่าเขาดื่มจนเต็มท้องก็ไม่มีปัญหาอะไร
นอกจากนี้บัดไวเซอร์ขวดเล็กที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์สวยๆ นี้มีปริมาณแค่สามร้อยสามสิบมิลลิลิตรเท่านั้น แรงกดดันจึงยิ่งน้อยมาก
ต่างคนต่างดื่มหมดคนละหนึ่งขวด เลี่ยวเจี่ยรู้สึกพอใจเล็กน้อย “ไม่เลว ค่อยเหมือนลูกผู้ชายหน่อย!”
ตอนนี้เขาทำเงินได้มากกว่าเมื่อก่อน แต่ก็หาความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้อีก กระทั่งไม่กล้าจัดงานคอนเสิร์ต เพราะกลัวแฟนคลับเพลงร็อกในตอนนั้นจะด่าว่า
ผู้ทรยศเพลงร็อกแห่งชาติไง!
ลู่เฉินดื่มเบียร์ ฟังมากกว่าพูด เขาสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกเลื่อนลอยและเจ็บปวดในใจของเลี่ยวเจี่ยได้
ไม่ช้าขวดเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เลี่ยวเจี่ยดื่มจนหน้าแดงก่ำ พูดจามากกว่าเดิม ลู่เฉินก็รู้สึกเมานิดๆ แล้ว
“คุณครับ สั่งสักเพลงไหมครับ”
และในตอนนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายวัยรุ่นคู่หนึ่งก็เดินเข้ามา ผู้ชายกอดกีตาร์อยู่ในอ้อมอก
ทั้งสองคนดูท่าทางแล้วเพิ่งอายุยี่สิบปีต้นๆ น่าจะเป็นคู่รักกัน แต่งตัวค่อนข้างอนาถา
คนหลงกรุงในเมืองหลวงมีมากมายนับไม่ถ้วน ที่แสดงฝีมือความสามารถตามท้องถนนก็มีไม่น้อย คนที่มีความสามารถหน่อยก็ยื่นขอใบอนุญาตเพื่อขอพื้นที่แสดง และก็มีคนที่เร่ร้องเพลงไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาก
เนื่องจากคนที่มาเดินเตร่ตามร้านอาหารแผงลอยแบบนี้ ส่วนใหญ่มีฝีมือไม่สูงนัก กระทั่งไม่ใช่นักร้องที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ
เลี่ยวเจี่ยหัวเราะฮ่าๆๆ หยิบธนบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วยื่นออกไป
“ไม่สั่งเพลงหรอก แต่ขอยืมกีตาร์ของคุณหน่อย ผมจะร้องเอง!”
นี่คือความไม่อยู่ในกรอบ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของเลี่ยวเจี่ย หากเป็นศิลปินตัวท็อปคนอื่น คงไม่มีใครลดตัวมาทำเรื่องแบบนี้
แต่นี่ก็คือนิสัยที่แท้จริงของเขา
สำหรับคู่รักเร่ร้องเพลงคู่นี้ดูเหมือนจะไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน จึงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ลู่เฉินหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “วางใจได้ ไม่ทำกีตาร์ของพวกคุณพังหรอก”
เขาเคยอาศัยอยู่ระดับล่างมาก่อน จึงรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลว่าเลี่ยวเจี่ยที่เมาอยู่จะทำกีตาร์ของพวกเขาพัง
กีตาร์ของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่ เป็นสินค้ามีราคาหนึ่งถึงสองพันหยวนเป็นอย่างน้อย
รู้สึกทะนุถนอมจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก
เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ให้แฟนรับเงินมา แล้วตัวเองก็ปลดกีตาร์ออก
เขาไม่ค่อยวางใจเลี่ยวเจี่ยที่แต่งตัวเหมือนเจ้าพ่อมาเฟียมาก แต่กลับเชื่อใจลู่เฉินอย่างเห็นได้ชัด
เลี่ยวเจี่ยรับกีตาร์มา ปรับสายลองเสียงอย่างชำนาญ พลางบ่นว่า “ปรับสายก็ไม่ตรง ยังจะเร่ร้องเพลง”
เด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าแดงด้วยความเขินอายทันที
เลี่ยวเจี่ยไม่สนใจเขา ปรับสายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็ดีดสายกีตาร์เต็มแรง!
…………………………………………………………………………
Ink Stone_Fantasy
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar