ตอนที่ 240 สะใจ
ถนนซื่อหมิงยามค่ำคืนคึกคักมาก นักกินทั้งหลายนั่งเต็มหน้าร้านอาหารแผงลอยต่างๆ
นิสัยของเลี่ยวเจี่ยไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่สนใจผู้คนที่อยู่ในที่สาธารณะ ไม่สนใจว่าฐานะของตัวเองจะถูกเปิดเผยหรือไม่ พอเมาได้ที่แล้วก็ยืมกีตาร์มาดีดและร้องเพลงทันที ถือเป็นสไตล์ของคนใจป้ำไม่สนใจใคร
นักร้องเพลงร็อกทั่วไป มีน้อยคนมากที่จะดีดกีตาร์ไม่เป็น นอกจากนี้ยอดฝีมือกีตาร์ที่เป็นนักร้องเพลงร็อกก็มีจำนวนเยอะที่สุด
การดีดกีตาร์ของเลี่ยวเจี่ยถือว่าเป็นระดับปรมาจารย์
ถึงแม้จะไม่มีปิ๊กกีตาร์ โน้ตดนตรีที่คึกคักฮึกเหิมก็ถูกระบายออกมาจากนิ้วมือของเขา ทำเอาเจ้าของกีตาร์ตกตะลึงอ้าปากค้าง ดึงดูดความสนใจของนักกินหลายคนที่อยู่โดยรอบ
ลู่เฉินหัวเราะ
เพราะเลี่ยวเจี่ยร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เพียงแต่ตอนเล่นท่อนอินโทรเขาได้ใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไป
ไอดอลนักร้องเพลงร็อกคนนี้ไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมอย่างแน่นอน!
“ยังจำได้ฤดูใบไม้ผลิเมื่อหลายปีก่อน ฉันในตอนนั้นยังไว้ผมยาว…”
“ไม่มีบัตรเอทีเอ็ม ไม่มีเธอ บ้านไม่มีน้ำร้อนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“แต่ฉันในตอนนั้นมีความสุขมาก ถึงแม้จะมีแค่กีตาร์ไม้เก่าๆ ตัวเดียว…”
“บนถนน ใต้สะพาน ในทุ่งนา ก็ยังร้องเพลงที่ไม่มีใครสนใจ!”
พลังเสียงของเลี่ยวเจี่ยคือการแผดเสียงคำรามที่ทุ้มลึกแหบพร่ามีความชำนาญอย่างโชกโชน ถึงแม้จะเป็นเพราะเขาดื่มเหล้าเยอะไป เขาจึงไม่อาจโชว์ความสามารถของตัวเองออกมาได้ทั้งหมด แต่ก็ยังควบคุมลมหายใจได้ดีมาก
แต่ในเมืองคึกคักแบบนี้ได้ยินเขาโชว์พลังเสียงร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ก็ยังทำให้คนรู้สึกสั่นสะเทือนเหมือนเดิม!
นักร้องที่ร้องเพลงอยู่แถวร้านอาหารแผงลอย พวกนักกินในถนนซื่อหมิงเห็นมาเยอะแล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกอะไร
แต่ลูกค้าที่มาทานข้าวและร้องเพลงด้วยตัวเองแบบนี้พวกเขาเห็นน้อยมาก แถมยังร้องเพลงเพราะอีกด้วย
“หากมีวันหนึ่งฉันแก่ไร้ที่พักพิง โปรดทิ้งฉันไว้ในช่วงเวลานั้น!”
“หากมีวันหนึ่งฉันตายไปอย่างสงบ โปรดทิ้งฉันไว้ในฤดูใบไม้ผลินี้!”
พอร้องถึงท่อนฮุกที่รู้สึกสุดยอด อารมณ์เข้มข้นก็ไหลทะลักออกมา เลี่ยวเจี่ยหน้าแดงจนม่วง เส้นเอ็นปูดขึ้นมาตามลำคอและหน้าผาก ราวกับว่าใช้พลังในตัวจนหมดสิ้น เสียงดังกังวานของกีตาร์ราวกับกำลังสะกิดหัวใจของทุกคน
ตอนนี้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดฝีเท้า บ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา
แม้แต่ลู่เฉินก็ยังเพลิดเพลินไปกับเสียงร้องของเขา
เลี่ยวเจี่ยร้องท่อนแรกเสร็จแล้ว ก็หันไปพยักหน้าให้ลู่เฉิน เพื่อให้เขาร้องบ้าง!
ลู่เฉินหัวเราะ ‘ฮ่า’ หนึ่งที ไม่ปฏิเสธการเชิญของเลี่ยวเจี่ย
เขาหยิบขวดเปล่าบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งขวด คว่ำลงทำเป็นไมค์ จากนั้นก็แผดเสียงร้องไปตามจังหวะดนตรี
ลู่เฉินก็รู้สึกเมาเล็กน้อย
สไตล์การร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ของเขาไม่เหมือนกับเลี่ยวเจี่ยอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีเสียงแหบพร่าดุดัน ไม่มีเสียงที่ช่ำชองเหมือนคนที่ผ่านโลกมามาก แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เร่าร้อนอีกแบบ
“ยังจำได้ฤดูใบไม้ผลิที่เงียบเหงาเหล่านั้น ฉันในตอนนั้นยังไม่ไว้หนวดเครา…”
“ไม่มีวาเลนไทน์ ไม่มีของขวัญ ไม่มีองค์หญิงน้อยแสนน่ารัก ของฉัน…”
“แต่ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถึงแม้ฉันจะมีเพียงจินตนาการของความรัก…”
“ในยามเช้า ในยามค่ำ ท่ามกลางสายลม ก็ยังร้องเพลงที่ไม่มีใครสนใจ!”
ลู่เฉินไม่ได้ร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นครั้งแรก ถึงแม้เขาจะขายเพลงนี้ให้วงเฮสิเทชั่นไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงชอบเพลงนี้มากเหมือนเดิม
เพียงแต่ตอนที่ร้องเพลงนี้ครั้งแรก กับร้องเพลงนี้ในตอนนี้ ชีวิตของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
อารมณ์ของเพลงจึงมีส่วนที่ไม่เหมือนกันหลายอย่าง
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการเข้าใจชีวิตของตัวเอง!
ตอนที่ร้องเพลงอย่างเต็มที่ ลู่เฉินไม่สนใจสายตาของคนรอบๆ ที่มองมา เพียงร่วมร้องเพลงกับเลี่ยวเจี่ย
เหมือนกับคนบ้าสองคนที่ดื่มหนักเกินไป
แต่เป็นคนบ้าที่ดีดกีตาร์เก่ง และร้องเพลงได้เพราะมาก…
“สะใจ!”
ร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ จบแล้ว เลี่ยวเจี่ยจึงแผดเสียงทุ้มต่ำหนึ่งที ยกเบียร์ที่อยู่บนโต๊ะมาดื่มหมดรวดเดียว
แปะๆๆ!
เสียงปรบมือไม่ค่อยพร้อมเพรียงดังขึ้นรอบๆ ตัว และมีบางคนที่ผิวปากเสียงดัง
ในกลุ่มนักกินนี้มีชาวต่างชาติอยู่ด้วย พวกเขาชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองคน
เลี่ยวเจี่ยปล่อยวางความกลัว จากนั้นจึงคืนกีตาร์ให้กับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เร่ร้องเพลงคนนั้น
เด็กหนุ่มรับกีตาร์มา แล้วจึงลองถามว่า “ไม่…ไม่ทราบว่าคุณใช่หรือไม่ใช่ คนนั้น…”
เลี่ยวเจี่ยใส่แว่นตา แต่แว่นตาก็ไม่สามารถปิดบังทั้งใบหน้าได้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้า
เลี่ยวเจี่ยหัวเราะฮิๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณอยากถามว่าผมคือเลี่ยวเจี่ยใช่หรือเปล่า เหอะๆ หลายคนก็ถามผมแบบนี้ความจริงผมรู้สึกว่าตัวเองหล่อกว่าเลี่ยวเจี่ยอีก ร้องเพลงก็ดีกว่าเขาเยอะ!”
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก แต่ก็หมดความสนใจและไม่ถามต่อ จากนั้นก็พาแฟนสาวเดินร้องเพลงหาเงินต่อไป
เขาก็คิดว่าไม่น่าจะใช่เลี่ยวเจี่ย แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้สามารถไปออก ‘รายการเปลี่ยนหน้าท้าโชว์’ ได้เลย
“สหาย ร้องอีกเพลงสิ!”
คู่รักวัยรุ่นเพิ่งก้าวออกไป ก็มีเสียงเรียกของคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ “ร้องอีกสองสามเพลง แล้วพวกเราจะช่วยจ่ายเงินให้พวกนายเอง!”
คนสี่ห้าคนที่อยู่โต๊ะนั้น ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบสามสิบปี พวกเขาแต่ละคนมีกำลังวังชา เหมือนกับโค้ชในสโมสรแห่งหนึ่งที่ออกมาสังสรรค์ข้างนอก มีบางคนเผยรอยสักที่อยู่ตรงแขน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar