อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 17

เห็นเพียงสีหน้าที่ไม่สู้จะดีนักของโม่เยว่ ก็รู้แล้วว่าต้องเจอกับเรื่องลำบากมาแน่ๆ

ช่วงกลางวัน เขายังมาทำท่าอวดดีต่อหน้าหยุนหว่านหนิงเพราะได้ดูแลค่ายเสินจีอยู่เลย แต่ไหนเลยจะรู้ว่าการจัดการกับค่ายเสินจีนั้น ยากลำบากมากตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว

“บังอาจ คนเหล่านี้ช่างโอหังเกินไปแล้ว”

เขาทุบหมัดลงไปที่กรอบประตูอย่างหนัก “ข้าไปหากรมคลังเพื่อจะขอเบิกเงินจากท้องพระคลัง ตาเฒ่าพวกนั้นกลับบอกว่าถ้าไม่มีราชโองการจากเสด็จพ่อ ใครก็ไม่สามารถเปิดท้องพระคลังได้ด้วยตนเอง”

“ไม่มีเงิน ข้าจะเกณฑ์ทหารได้อย่างไร แล้วจะสร้างอาวุธได้อย่างไร ”

“ข้าได้เกณฑ์ขุนนางที่มีความรู้ความสามารถในราชสำนัก กลับถูกผู้ตรวจการราชสำนักถวายฎีกา บอกว่าข้าคิดอยากจะสั่งสมกำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่ออำนาจของตนเอง”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านอ๋องก็คงอนาถน่าดู”

หยุนหว่านหนิงยิ้มขำ “แล้วทำไมท่านไม่ไปขอเงินกับเสด็จพ่อเล่า”

“ข้าไปแล้ว แต่พี่สามบอกกับเสด็จพ่อว่า ในเมื่อข้ารับหน้าที่รับผิดชอบค่ายเสินจี และต้องการจะฝึกฝนข้า ทุกเรื่องเริ่มต้นด้วยความยากเสมอ ต้องอาศัยความสามารถของตัวข้าเอง”

โม่เยว่กัดฟัน “แม้แต่เสด็จแม่ ก็ยังขอร้องเสด็จพ่อเช่นนี้เหมือนกัน”

“ส่วนเสด็จพี่ที่เหลือ ต่างก็มีความเห็นในทางเดียวกัน ข้าจึงต้องกลับมามือเปล่า”

หยุนหว่านหนิงพยักหน้าราวกับกำลังใช้ความคิด

โม่เยว่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสมอง

เพียงแต่ ถูกท่านอ๋องคนอื่นๆร่วมมือกันเล่นงาน ถ้าคิดจะเอาชนะ คงไม่ง่ายอย่างที่คิด

“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ท่านอ๋องคงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากซินะ”

ไม่เพียงแต่ลำบาก แต่ลำบากมากต่างหากเล่า

รอยยิ้มจางๆของหยุนหว่านหนิง ทำให้โม่เยว่รู้สึกโมโหนางขึ้นมาจริงๆ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหา ใช้แรงจับข้อมือของหยุนหว่านหนิงไว้อย่างแรง “หยุนหว่านหนิง ที่ข้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า”

“ถ้าหากเจ้าไม่วางแผนใส่ร้ายพี่สะใภ้สาม ตอนนั้นข้าก็คงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับจวนอ๋องหยิงเป็นจำนวนมหาศาลขนาดนั้น”

ตอนนั้นหลังจากที่ฉินซื่อเสวียแต่งเข้าจวนอ๋องหยิงแล้ว ก็เล่าให้โม่หุยเฟิงได้ทราบว่า หยุนหว่านหนิงเป็นคนวางแผนให้ร้ายนาง

โม่หุยเฟิงเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจดีอะไร

เขาอดทนเก็บเอาไว้ รอให้หยุนหว่านหนิงแต่งงานเข้ามาจวนอ๋องหมิงแล้ว จึงมาหาเรื่องโม่เยว่

เพื่อให้เรื่องเงียบ โม่เยว่ต้องชดใช้เงินไปทั้งสิ้นหลายแสนตำลึง

และเพราะการชดใช้ด้วยเงินจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ทำให้ค่ายห้ากองพลของโม่หุยเฟิงมีทหารเต็มจำนวนอย่างรวดเร็ว และสร้างอาวุธขึ้นมาอีกไม่น้อย ทำให้เขาสามารถโดดเด่นกว่าท่านอ๋ององค์ไหนๆ และเป็นคนสำคัญที่ช่วยงานฮ่องเต้

ส่วนโม่เยว่ ชีวิตในหลายปีมานี้ เกือบจะกินผักกาดขาวประทังชีวิตแทบทุกวัน

ห้องบัญชีในจวน ว่างเปล่าจนน่าสงสาร

“เกี่ยวอะไรกับข้า ท่านอ๋องก็แค่จนตรอก แล้วมาใส่ร้ายคนดี”

หยุนหว่านหนิงใช้แรงดิ้นรนอยู่ชั่วครู่

แต่ไหนเลยจะสู้แรงของผู้ชายที่แข็งแรงมาก นางไม่สามารถเก็บมือกลับมาได้ จึงพูดด้วยความโมโหว่า “ถ้าหากท่านอยากจะให้ข้าช่วย วันหน้าก็อย่าได้ลงไม้ลงมือกับข้าอีก”

นางมีช่องว่างอยู่ในมือ เงินทองไม่ใช่ปัญหา

เพียงแต่ตอนนี้ นางยังศึกษาไม่ถ้วนถี่ ว่าช่องว่างนั้นเกิดปัญหาอะไรขึ้น

ทำไม จู่ๆก็ตัดขาดที่มาของเงินทองนาง

ระหว่างกำลังดิ้นรน ข้อมือของหยุนหว่านหนิง ก็กระแทกเข้ากับขอบเตาไฟอย่างแรง

ขอบเตาไฟไม่นับว่าคมนัก แต่ผิวพรรณนางเนียนนุ่มมาก บาดจนข้อมือของนางเป็นแผล เลือดไหลออกมา

กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย โม่เยว่กับหยุนหว่านหนิงต่างก็ชะงักไป

หยุนหว่านหนิงมองดูอย่างนิ่งอึ้ง กำไลข้อมือราวกับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง กำไลหยกที่หลายวันนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ตอนนี้กำลังดูดกินเลือดนางอย่างบ้าคลั่ง

ที่โม่เยว่นิ่งงันไปนั้น

เป็นเพราะเห็นข้อมือนางถูกบาดเป็นแผล เลือดสดๆกำลังไหลออกมา แต่แค่ชั่วพริบตาก็หายไปจนหมด

เขามองไม่เห็นกำไลข้อมือ จึงไม่รู้ว่ากำไลข้อมือดูดกินเลือดเหล่านั้นไปแล้ว

ผ่านไปแค่ชั่วครู่ บาดแผลบนข้อมือของหยุนหว่านหนิง ก็หายดีเป็นปลิดทิ้งโดยที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

ผิวพรรณเนียนผ่อง เหมือนไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลย

โม่เยว่อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง สายตาที่มองไปยังหยุนหว่านหนิง ราวกับมองเห็นผี

ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าจะเป็นแม่มด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์