โม่เอ๋อเกิดในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนางจึงจึงรู้จักกับจิตรกรและได้รู้ว่าพวกเขานั้นน่าทึ่งเพียงใด
เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ อำนาจของจิตรกรเองก็มาจากการต้องเข้าใจกฎของโลก
ตราบใดที่พวกเขาเข้าใจกฎของโลก พวกเขาจะสามารถแสดงพลังที่น่ากลัวได้ เนื่องจากพวกเขามีความสามารถในการบันทึกกฎของโลกลงไปในภาพที่พวกเขาวาดขึ้น
ตัวอย่างเช่นหากจิตรกรได้ไปเห็นกระบวนท่าของผู้เชี่ยวชาญคนใดก็ตาม และถ้าจิตรกรผู้นั้นเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาที่เขาเห็น เขาจะสามารถนำกระบวนท่านั้นบันทึกลงในภาพวาดของเขาและสามารถเปิดใช้งานมันได้อย่างอิสระ
แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของกระบวนท่าของผู้อื่นและการวาดมันออกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เมื่อเห็นเหวินลู่หยานจากไปอย่างไม่เชื่อมั่น โม่เอ๋อก็รู้สึกโกรธ
“นายท่าน ข้าว่าคราวหลังท่านอย่ามอบของแบบนี้ให้นางเลยจะดีกว่า!” โม่เอ๋อพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่มันไม่ต่างอะไรจากท่านให้หวีกับคนศีรษะล้านแท้ ๆ ท่านอาจจะไม่รู้ว่าแม้กระทั่งในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราก็ไม่มีสมบัติวิเศษแบบนี้มากนัก!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล นี่มันคือสิ่งที่ข้ามอบให้นางก็เพราะว่าสำนักของนางสร้างผลงานให้ข้าได้ดีในครั้งนี้ แต่พวกนางจะไม่ได้รับมันอีกในอนาคตหรอก”
โม่เอ๋อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นนางส่งสายตาอ้อนวอนไปให้กับหลิงตู้ฉิง และพูดอย่างเขินอาย “เอ่อ…นายท่าน ท่านยังมีของอะไรแบบนี้อยู่อีกบ้างรึเปล่า? โม่เอ๋อยังไม่เคยเห็นภาพวาดของจิตรกรระดับสูงเช่นนี้ใกล้ ๆ เลย ท่านจะว่าอะไรไหมหากจะให้ข้ายืมดูมันสักหน่อย”
“เอานี่ไป!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าจะให้เจ้าติดตัวไว้ เจ้าไม่จำเป็นต้องคืนมันให้ข้า”
เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่เอ๋อดีใจมาก “ขอบคุณนายท่าน!”
นางรีบหยิบยันต์เคลือบหยกจากมือของหลิงตู้ฉิงอย่างตื่นเต้นและเพ่งมองสิ่งที่อยู่บนยันต์เคลือบหยก ซึ่งมันคือรูปของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
ซือโถวเหวินหยวนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งมองไปที่ยันต์เคลือบหยกด้วยความอิจฉา
ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยได้รับมัน แต่เนื่องจากเขาทำเสียเรื่องในคราวนั้น จากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะขอภาพจากหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป
เมื่อมองไปที่สัตว์ประหลาดในมือของโม่เอ๋อ เขาสังเกตเห็นว่ามันถูกวาดเป็นรูปวัวซึ่งเขาทั้งสองที่อยู่บนหัวของมันนั้นมีสีเขียวคล้ายกับหยกแถมยังถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า ซึ่งหากดูจากลักษณะภายนอกเช่นนี้แล้วเขาสามารถเดาได้ทันทีว่าคงจะมีพลังที่น่ากลัวมากทีเดียว
เมื่อเห็นภาพนี้ มันทำให้เขานึกถึงบันทึกที่อยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ของเขา ที่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับสัตว์ประเภทต่าง ๆ ในทันที และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็นึกถึงบางสิ่งที่ดูคล้ายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก เขาถามอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ถ้าข้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมสายฟ้า วัวอัสนี ใช่ไหม?”
โม่เอ๋อหยิบมันขึ้นมาและมองไปที่สัตว์ประหลาดที่อยู่ในยันต์เคลือบหยก นางขมวดคิ้วอยู่นาน แต่คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร เมื่อนางได้ยินซือโถวเหวินหยวนพูดแบบนี้ นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างคาดหวังและถามว่า “นายท่าน มันคือ วัวอัสนี งั้นเหรอ?”
“ใช่!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าสามารถควบคุมมันได้ไม่ยาก แต่เจ้าต้องไม่เอาอย่างคนที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าเด็ดขาด ข้าเคยมอบอสูรกลืนสวรรค์แก่เขา แต่เขาเกือบจะทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง!”
โม่เอ๋อมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน ซึ่งอยู่ข้าง ๆ นางโดยไม่รู้ตัว เมื่อนางเห็นสีหน้าลำบากใจของซือโถวเหวินหยวน นางจึงรีบพูดว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะควบคุมมันให้ดี”
นอกเหนือจากความรู้สึกอึดอัด ซือโถวเหวินหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก และสถานการณ์ภายในสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม
ในทางกลับกัน ขณะนี้บรรยากาศภายนอกสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์นั้นเริ่มที่จะคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในหุบเขาบุปผาอนันต์ทำให้ผู้คนสงสัยและคาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่า หุบเขาบุปผาอนันต์จะต้องได้รับขุมทรัพย์จากสำนักโบราณมาอย่างแน่นอนและเมื่อบวกกับข่าวที่ว่า หลิวซ่งที่ได้ไปหุบเขาบุปผาอนันต์และพ่ายแพ้กลับไปในขณะที่นำสมบัติวิเศษระดับเซียนไปด้วย มันยิ่งยืนยันข่าวลือของสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)