นอกเหนือจากเทียนหยูเฮงแล้ว กองกำลังอื่น ๆ ก็เริ่มกระสับกระส่าย
สำหรับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาตัดสินใจว่าจะยังไม่เคลื่อนไหวในขณะนี้ เนื่องจากพวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับส่วนแบ่งอยู่แล้วจากที่พวกเขาเองก็ได้มีส่วนร่วมในการจัดการวิญญาณปีศาจ
ส่วนทางด้านตำหนักเทพเหมันต์ก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับลั่วหยุนค่อนข้างที่จะแน่นแฟ้นพอสมควร
สำหรับคนอื่น ๆ ที่พวกเขาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับหลิงตู้ฉิง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่มีความคิดที่จะลงมือใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น สีเป่ยเซียะจากสำนักเบญจธาตุและคนอื่น ๆ ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาจากขุมกำลังใหญ่ ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซะจากกลุ่มคนที่มาจากอาณาจักรอ้าวเทียน
ด้วยการที่พวกเขามีสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิเป็นผู้หนุนหลัง ผู้คนของอาณาจักรอ้าวเทียนจึงไม่เกรงกลัวที่จะล่วงเกินหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาตอนนี้จึงกำลังเริ่มวางแผนต่าง ๆ อยู่ในใจ
ลั่วหยุนมองไปที่การกระทำของเทียนหยูเฮงและหัวเราะด้วยความโกรธ “เป็นเวลานับหมื่นปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าที่จะล่วงเกินหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของข้า ตอนนี้สันเขาทรราชของเจ้าต้องการที่จะเห็นให้ได้ใช่ไหมว่า ทำไมถึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินพวกข้ามานานนับหมื่นปี?”
เมื่อพูดจบ ลั่วหยุนหยิบอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิขึ้นมาอีกครั้งและพูดกับเทียนหยูเฮงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะไปด้วยตัวเองหรือจะให้ข้าส่งเจ้าออกไป?”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ การแสดงออกของเทียนหยูเฮงก็เปลี่ยนไปจนแทบจะเหมือนกับเป็นคนละคน สีหน้าของเขากลายเป็นหยิ่งผยองพร้อมกับใช้น้ำเสียงในการพูดเป็นโทนเสียงเย็นชา “เจ้าก็มันก็แค่วิญญาณที่ไร้ร่าง แถมเมื่อครู่เจ้าก็พึ่งผ่านศึกใหญ่มาหมาด ๆ จนความแข็งแกร่งลดลงไปอยู่ก็หลายส่วน”
“ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้มาลองดีกับพวกข้าในตอนนี้จะดีกว่า ส่วนหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเจ้า ก่อนหน้านี้มันก็เคยมีคนที่พวกเจ้าต้องยอมศิโรราบให้ไปแล้วไม่ใช่รึไง? ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญว่ามีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่ไม่เกรงกลัวพวกเจ้าและสันเขาทรราชของข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น!”
จากความรู้สึกของลั่วหยุน เขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นจิตสำนึกของผู้อื่นที่พูดขึ้นผ่านเทียนหยูเฮง เขาถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าคือ เทียนเฟิง! แม้ว่านี่จะเป็นแค่เศษเสี้ยวจิตสำนึก แต่ข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตที่สูงกว่าเจ้า” เทียนเฟิงพูดขึ้น “สำหรับเจ้าที่เหลือแค่เพียงดวงจิต เจ้าย่อมน่าจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน ข้าจะขอบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้ข้าต้องการมัน!”
ลั่วหยุนจ้องไปที่เทียนเฟิงด้วยสายตาเย็นชาพลางหัวเราะ “ถ้าเจ้าต้องการแย่งชิงมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากข้า เจ้าคิดผิดแล้ว เป้าหมายของข้าคือการกำจัดวิญญาณปีศาจเท่านั้น สำหรับส่วนแบ่งในมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์เจ้าคงจะต้องไปถามถามคนผู้นั้นแทน…!”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบคำข่มขู่ของเทียนเฟิง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมถอย นี่เป็นเพราะตัวเขาเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณเท่านั้น ซึ่งตอนนี้มันยิ่งอ่อนแอมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีกหลังจากการสู้รบกับวิญญาณปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกซะจากต้องโยนปัญหานี้ไปให้กับหลิงตู้ฉิงรับหน้าแทน
“ให้ข้ารับมือเองคงไม่ไหว!” ลั่วหยุนส่งข้อความทางโทรจิตไปหาหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดอย่างจนปัญญา “หากเจ้าต้องการปล้นมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ของข้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องขุดโคตรบรรพบุรุษของเจ้าเองออกมา แต่ถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะมาเอง มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อยู่ดีล่ะนะ”
“เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้ายโสโอหังต่อหน้าข้าขนาดนี้?” เทียนเฟิงหัวเราะเยาะ
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้ามันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของจิตสำนึกเท่านั้น จงรีบไสหัวไปซะตั้งแต่ตอนนี้ที่ข้ากำลังอารมณ์ดี ข้ายังไม่อยากจะฆ่าใคร!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงสะบัดมือเรียกกระบี่บินออกมาจากเรือนบนยอดเขาและควบคุมกระบี่บินทั้ง 49 เล่มให้กลายรูปแบบค่ายกลล้อมรอบสระหยูหลันเอาไว้ จากนั้นภายใต้การปกป้องของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา หลิงตู้ฉิงก็เดินไปที่มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์และค่อย ๆ เก็บพวกมันไว้
เมื่อเห็นการกระทำของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ เทียนเฟิงจึงโคจรพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปในดาบยาวสีดำ ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิของเขาโดยไม่ลังเล
เมื่อได้รับพลังวิญญาณที่ผสมไปด้วยเจตจำนงของเทียนเฟิง ดาบยาวสีดำก็เริ่มเปล่งแสงรัศมีสีดำทมิฬของมันออกมาและในเวลาเดียวกับที่รัศมีสีดำปรากฎขึ้น ค่ายกลกระบี่ของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มสั่นราวกับว่ามันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในอีกไม่กี่อึดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)