พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) นิยาย บท 370

สรุปบท บทที่ 370 โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจ: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ตอน บทที่ 370 โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจ จาก พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 370 โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หลังจากผ่านเหตุการณ์ศึกวิญญาณปีศาจ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหยูหลันก็รู้สึกได้ว่าเมืองหยูหลันดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

แม้ว่าที่ผ่านมาทุกคนจะมีงานยุ่ง แต่ก็มีความรู้สึกเครียดอยู่เสมอ

แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นกลับหายไป

แต่ก็ยังมีคนกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังคงรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับต่ำ ๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับที่สูงขึ้นมา พวกเขาต่างก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวกับวิญญาณปีศาจรวมไปถึงยังมีเหตุการณ์ที่เหล่าขุมกำลังใหญ่ขัดแย้งกันเองอีกต่างหาก ซึ่งบรรดาหมู่คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นก็แทบไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะแต่ละคนก็กลัวว่าพวกเขาอาจจะซวยได้ถ้าเกิดปากโป้งเรื่องบางเรื่องที่สำนักใหญ่บางสำนักต้องเสียหน้าจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ความจริงที่เกิดในคืนนั้น

2 เดือนถัดมา ผู้คนกว่า 4,000 คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการปรากฎตัวของพวกนางครั้งนี้คือการเดินทางกลับไปยังหุบเขาบุปผาอนันต์

พวกนางทุกคนต่างย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่พวกนางทั้ง 4,000 คนได้ยกพลเข้ามาในเมืองหยูหลันด้วยความกลัวว่าพวกตนจะไม่มีชีวิตรอดจากไป แต่ในตอนนี้เมื่อพวกนางกำลังกลับไปที่สำนักของพวกนาง ความรู้สึกของพวกนางนั้นมันช่างแตกต่างกับตอนที่พวกนางมาที่นี่กันอย่างลิบลับ เนื่องจากตอนนี้พวกนางทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้รับส่วนแบ่งจากหลิงตู้ฉิงมามากมาย แถมยังได้ผู้หนุนหลังใหม่คือหอการค้าเชื่อมสวรรค์อีกต่างหาก ซึ่งมันทำให้พวกนางแน่ใจว่าในอนาคตสำนักของพวกนางจะต้องรุ่งเรืองมากกว่าสำนักใด ๆ ในบริเวณรอบเมืองหยูหลันแน่นอน

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ยังคงเกิดขึ้นระหว่างทางกลับ

เนื่องจากในตอนนี้หุบเขาบุปผาอนันต์ของนางกลับถูกคนแปลกหน้าครอบครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากการหายไปเป็นเวลานานของพวกนาง

แต่ปัญหาที่ว่าก็ถูกคลี่คลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของซือเสี่ยวฮุย ที่โจมตีเหล่าผู้คนที่ยึดครองหุบเขาบุปผาอนันต์โดยพลกาลอย่างเฉียบขาด

แต่ยังเป็นความโชคดีของเหล่าผู้คนแปลกหน้าที่ยึดครองหุบเขาบุปผาอนันต์ เนื่องจากที่ซือเสี่ยวฮุยได้ฝึกฝนวิชาวัชระสงบจิตมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นางจึงไม่สังหารพวกเขาแม้แต่คนเดียว นางทำเพียงแค่โจมตีพวกเขาแค่ให้บาดเจ็บสะบักสะบอมเพื่อขับไล่พวกเขาเพียงเท่านั้น ส่งผลให้หุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามความสงบมันก็ไม่ได้อยู่นานนัก

เพียงครึ่งเดือนผ่านไปก็มีกลุ่มคนหน้าใหม่เข้าโจมตีหุบเขาบุปผาอนันต์อีกครั้ง

ความแข็งแกร่งของผู้โจมตีในรอบใหม่นั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญขึ้นไปทั้งนั้น

เมื่อเผชิญกับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญที่ระดับสูงเช่นนี้ ซือเสี่ยวฮุยก็ลงมือสังหารเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทันที ส่วนบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่มากันอยู่ 2 คนก็ถูกลำแสงสีทองที่พุ่งออกมาจากภายในเมืองหยูหลันหลังที่ห่างออกไปกว่าหลายร้อยกิโลเมตรสังหารลงอย่างง่ายดาย

และจากนั้นหุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้คนต่างก็เข้าใจแล้วว่าหุบเขาบุปผาอนันต์นั้นมีตัวตนที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่ ซึ่งนับแต่นั้นมามันก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรผลีผลามกับหุบเขาบุปผาอนันต์อีกต่อไป

ในขณะที่เหตุการณ์ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะเงียบสงบอย่างแท้จริง เรือนของหลิงตู้ฉิงก็ได้รับแขกหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ในตอนนี้ เฟิงหมานเทียน ได้มาถึงเรือนของหลิงตู้ฉิงพร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง

เมื่อได้พบกับหลิงตู้ฉิง เฟิงหมานเทียนก็แนะนำเขาว่า “ท่านหลิงนี่คือนายน้อยของตระกูลเรา นายน้อยของข้ามีนามว่า หนิงฮ่าว”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้านำสิ่งที่ข้าต้องการมาด้วยรึเปล่า?”

เฟิงหมานเทียนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ ข้าเอามาด้วย!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองหนิงฮ่าว โดยบอกใบ้หนิงฮ่าวว่าให้ส่งวัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับหลิงตู้ฉิง

แต่สิ่งที่เขาเห็นเมื่อหันกลับไปคือ หนิงฮ่าวกำลังจ้องมองเสี่ยวเยว่เฟิงและน้องสาวของนาง

เสี่ยวหลิงเฟิงโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าคงต้องขอปรึกษากับพี่สาวของข้าก่อน”

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสายตาที่หนิงฮ่าวมองนาง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นนางจึงใช้พี่สาวของนางเป็นเกราะกำบัง

นอกจากนี้ไม่ว่าจะยังไงนางก็ยังคงต้องปรึกษาพี่สาวของนางในเรื่องนี้อยู่ดี

“เอาล่ะงั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะคุยกับพี่สาวของเจ้าเองก็แล้วกัน!” หนิงฮ่าวพยักหน้า

ในเวลานี้หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงและถามขึ้น “เจ้าถูกคนของภูเขาฟีนิกซ์ไล่มาอย่างไร?”

หลิงตู้ฉิงไม่เคยถามคำถามนี้มาก่อน

แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา

เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงถามคำถามนี้ขึ้น เสี่ยวเยว่เฟิงก็ตอบด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “นายท่าน พวกเราแค่เป็นผู้ติดตามตระกูลหนิงออกมาด้วยเพียงเท่านั้น พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถ้าตามที่ข้าเคยได้ยินที่หนิงเฟิงพูด เขาเคยบอกว่าสายเลือดของตระกูลเขาทำให้ตระกูลหานขุ่นเคือง และด้วยเส้นสายของตระกูลหานที่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งมากกว่า ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกจากพื้นที่เขตภูเขาฟีนิกซ์ และจากนั้นภูเขาฟีนิกซ์ก็ได้ประกาศต่อโลกภายนอกว่าพวกเราทุกคนได้ทรยศต่อภูเขาฟีนิกซ์”

“คนทรยศ?” หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้ว “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงถูกให้ร้ายจนกลายเป็นคนทรยศ?”

“สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์อสูรปีศาจ!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดเบา ๆ “ภูเขาฟีนิกซ์ของเราและเผ่าอสูรปีศาจเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกัน โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจนั้นร้ายแรงมาก ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนของภูเขาฟีนิกซ์ต่างก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นแน่นอน ดังนั้นข้าคิดว่านี่มันอาจเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลหานเพื่อสังหารพวกเราให้หมดทุกคน”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “มันอาจจะไม่ใช่กับดัก!”

สีหน้าของเสี่ยวเยว่เฟิงเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที “นายท่าน นี่ท่านหมายความว่ายังไง!?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)