ในระหว่างเดินไปที่ห้องโถงรับรอง มู่หลงหยานพูดทางโทรจิตกับเย่ชิงเฉิง “ลูกแม่ สินสอดที่เจ้าว่านี่มันคืออะไรกัน? และอีกอย่าง ตอนนี้เจ้ากำลังบ่มเพาะวิชาอะไรอยู่? ทำไมแม่ถึงสีมผัสได้ว่าวิชาที่เจ้าบ่มเพาะมันไม่เหมือนเดิม?”
เย่ชิงเฉิงโทรจิตตอบกลับ “ท่านแม่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสามีของข้าช่วยให้ข้าได้บ่มเพาะวิชาใหม่ที่ดีกว่าเดิม ส่วนสินสอดนั้นข้ามั่นใจว่าท่านแม่จะต้องคาดไม่ถึงแน่นอนว่ามันคืออะไร”
จากนั้นเย่ชิงเฉิงก็หันไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “สามี ท่านรีบเอาสินสอดของท่านออกมาให้แม่ข้าเร็ว ๆ ข้าอยากเห็นสีหน้าของท่านแม่แล้วว่าจะเป็นยังไง ในตอนนี้มีแต่พวกเรากันเองทั้งนั้นท่านไม่ต้องกังวลแล้วว่าใครจะเห็นเข้า”
เมื่อได้ยินที่เย่ชิงเฉิงพูดเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็หยิบเอาโอสถกำหนดเต๋าและโอสถสงบวิญญาณขึ้นมา และยื่นมันให้กับมู่หลงหยาน “จงใช้โอสถกำหนดเต๋าเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตจักรพรรดิ และใช้โอสถสงบวิญญาณช่วยเจ้าในระหว่างการต้านทัณฑ์สวรรค์ให้มีโอกาสผ่านมันได้ง่ายขึ้น”
ถึงแม้ว่ามู่หลงหยานจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันและยังเป็นภรรยาของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อนางเห็นโอสถทั้งสองชนิดนี้ นางก็ถึงกับแสดงสีหน้าตกตะลึง
ในโลกนี้ มันแทบจะไม่หลงเหลือใครที่สามารถหลอมโอสถเหล่านี้ได้อีกแล้ว ซึ่งทำให้พวกมันหายากมาก ๆ แต่แล้วหลิงตู้ฉิงกลับยื่นมันทั้งสองให้กับนางง่าย ๆ เช่นนี้งั้นเหรอ?
นางรับพวกมันมาด้วยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่เจ้าไปได้พวกมันมาจากไหน?”
ในเมื่อโอสถทั้งสองนี้ถูกกล่าวว่าเป็นสินสอดที่หลิงตู้ฉิงมอบให้แม่ยายอย่างนาง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่นางจะรับมา และที่สำคัญการหลิงตู้ฉิงได้แต่งงานกับเย่ชิงเฉิง มันก็หมายความว่าเขาได้รับอาวุธระดับจักรพรรดิของสำนักนางไปด้วยไม่ใช่หรือไง?
แต่ไม่ว่าจะยังไง มู่หลงหยานก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า หลิงตู้ฉิงไปได้โอสถเหล่านี้มาจากที่ไหน
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ตอนนี้ผนึกที่สำนักวิญญาณโลหิตถูกปลดหมดแล้ว ซึ่งข้าก็ได้โอสถพวกนี้มาจากที่นั่น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หลงหยานเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจทันที “ผนึกในสำนักวิญญาณโลหิตถูกปลดแล้วงั้นเหรอ?”
ต้องเข้าใจว่าสำนักวิญญาณโลหิตถูกผนึกมาเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว ซึ่งมันไม่มีใครเลยสักคนที่สามารถทำอะไรได้กับผนึกเหล่านั้น แต่ในตอนนี้มันกลับมีใครบางคนสามารถปลดผนึกเหล่านั้นได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันจะต้องเป็นผู้ที่ผนึกสำนักวิญญาณโลหิตไว้นั่นแหละที่เป็นคนไปปลดผนึกเอง แต่ในเมื่อคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นแล้วทำไมเขาถึงต้องไปปลดผนึกให้สำนักวิญญาณโลหิตด้วย? คนผู้นั้นมีแผนอะไรกันแน่?
เย่ชิงเฉิงเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นนางก็หันไปพูดกับมู่หลงหยานว่า “ท่านแม่ ท่านคงจะไม่รู้สินะว่าในตอนนี้เทพกระบี่ได้กลับชาติมาเกิดแล้ว ซึ่งในเวลาที่เขาปรากฏกายขึ้นพวกเราก็อยู่ที่นั่นด้วย ส่วนแม่นางหมิงยู่ที่อยู่ตรงนี้ นางเองก็เป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิตเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หลงหยานถึงกับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยถามขึ้นทันที “เทพกระบี่กลับชาติมาเกิดแล้วงั้นเหรอ?”
สำหรับตัวตนเช่นเทพกระบี่ หากตัวตนเช่นนี้กลับมาปรากฏกายขึ้นอีกเมื่อไหร่ มันก็หมายถึงว่าความสมดุลของอำนาจในโลกมันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกรอบ
ในฐานะที่นางเป็นภรรยาของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ การได้ยินข่าวเช่นนี้มันทำให้นางตกตะลึงมากกว่าเรื่องโอสถทั้งสองเม็ดที่หลิงตู้ฉิงมอบให้นางด้วยซ้ำ เนื่องจากการปรากฏกายของตัวตนระดับนี้มันย่อมจะส่งผลกระทบถึงสำนักของนาง เนื่องจากมันมีโอกาสสูงที่สำนักของนางจะได้พบกับเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดผู้นี้ในอนาคต ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถเป็นมิตรกันได้มันก็ดีไป แต่ถ้าหากพวกเขาลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกัน มันจะยิ่งทำให้สำนักของนางตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลอะไรกับเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดผู้นี้หรอก เทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสามีของข้า ซึ่งพวกเราสานสัมพันธ์ความเป็นมิตรกันตั้งแต่ตอนอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ”
เย่ชิงเฉิงตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้แม่นางฟังเพียงคร่าว ๆ และไม่คิดจะเล่ารายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งมันรวมไปถึงสถานะตัวตนของหมิงยู่ หรือความพิสดารอื่น ๆ อีกของหลิงตู้ฉิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)