เสียงที่ดังก้องขึ้นนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณเขตแดนหมอกต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นหมอกสีเทาที่อยู่รอบ ๆ ก็ม้วนตัวกลับเข้ามาปกคลุมเส้นทางที่เฉินจี้ซีเคยเปิดออก และกลืนกินเฉินจี้ซีกับเล้งเจี้ยนชิวที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น และบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายทั้งสาม ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกลับถูกผลักออกจากเขตแดนหมอกไปจนหมด จนท้ายที่สุดเขตแดนหมอกก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่ด้านนอกของเขตแดนหมอก บรรดาผู้คนที่ถูกผลักออกมาต่างก็จ้องไปที่เขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างอยู่สักพัก ก่อนที่กรีดร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น!
คนของสำนักพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหมอกอีกแล้ว!
รอบนี้ความสูญเสียของพวกเขานั้นหนักหนากว่ารอบที่แล้วอีกต่างหาก เนื่องจากรอบนี้บรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายของพวกเขาถึงสามคนถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน แถมยังจะมีเฉินจี้ซีที่เป็นแขกพวกเขาถูกดูดเข้าไป รวมไปถึงเล้งเจี้ยนชิว ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักก็ถูกดูดเข้าไปเช่นกัน!
“ไอ้หมอกบ้านี่มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมมันถึงมีการตอบสนองเอาตอนที่พวกเรากำลังจะฝ่าเข้าไปในพื้นที่ศูนย์กลางของมัน?” หานเว่ยฮุยเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นราวกับว่าเขากำลังถามสวรรค์
ส่วนทางด้านเล้งหวง เขาจ้องไปยังเขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างโดยไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้
เขาคือผู้ที่เชิญเฉินจี้ซีมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้เฉินจี้ซีกลับทำให้สำนักของเขาต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง แล้วแบบนี้เขาจะเอาอะไรไปอธิบายกับคนในสำนัก?
คนอื่น ๆ ของสำนักที่ไม่ได้เข้าไปในเขตแดนหมอกตั้งแต่ตอนแรก เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็กระเด็นลอยออกมาจากเขตแดนหมอกและแสดงสีหน้าตกตะลึง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? เปิดหมอกตรงพื้นที่จุดศูนย์กลางได้รึยัง? ว่าแต่เฉินจี้ซีไปไหนแล้ว?”
แม้จะได้ยินคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามา กลุ่มของหานเว่ยฮุยก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่เหม่อมองไปที่เขตแดนหมอก
ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน หานหลิงอู่ก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าเขตแดนหมอกแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของหานเว่ยฮุย เขาก็พอจะเดาอะไรออกได้บางอย่าง เขาจึงรีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป?”
ในตอนนี้ในใจของเขานั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่มันจะเป็นความจริง ซึ่งนั่นก็คือบรรดาบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลถูกหมอกดูดเข้าไป!
หลังจากอยู่ในอาการตกตะลึงค้างอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหานเว่ยฮุยก็ชี้ไปทางเขตแดนหมอกและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาทั้งหมดติดอยู่ข้างใน! ที่สำคัญไอ้เขตแดนนี้มันมีชีวิต! เมื่อกี้ข้าได้ยินอย่างชัดเจนว่ามันพูดกับพวกเรา และจากนั้นมันก็ดูดเหล่าบรรพบุรุษเข้าไปและส่งพวกเรากระเด็นลอยออกมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของหานเว่ยฮุย สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
ในเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าเขตแดนหมอกนี้มันเกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา พวกเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะแก้ไขมันได้หากใช้วิธีที่ถูกต้อง
แต่แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันมีชีวิตและจิตสำนึกของตัวเอง?
แล้วถ้าหากมันมีจิตสำนึกของตัวเองแบบนี้ แล้วพวกเขาไปก่อกวนมันมาก ๆ จนมันโมโห มันไม่พาลมาพังสำนักของพวกเขางั้นเหรอ?
“เร็วเข้า รีบไปตามทุกคนให้มารวมกันที่ห้องโถงใหญ่ให้เร็วที่สุด พวกเราต้องปรึกษากันทันทีว่าจะเอายังไงกับมัน!” หานหลิงอู่ตะโกนสั่งขึ้น
ในตอนนี้ระดับความอันตรายของเขตแดนหมอกในสายตาของพวกเขาถูกยกขึ้นมาอีกระดับจนพวกเขาไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา พวกเขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งหากหมอกนี้เคลื่อนตัวมาปกคลุมสำนักของพวกเขาทั้งสำนัก วันนั้นมันคงเป็นวันอวสานของพวกเขาโดยที่พวกเขาคงไม่อาจจะต้านทานอะไรได้ พวกเขาจำเป็นต้องรีบปรึกษาหาทางออกทันที
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสำนักที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าขอบเขตราชันต่างถูกเรียกให้มาที่ห้องโถงใหญ่ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าบรรพบุรุษที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็ถูกเชิญออกมาเช่นกัน
แม้แต่มู่หลงหยานที่เพิ่งทะลวงขอบเขตเสร็จ และยังไม่ทันได้ปรับระดับการบ่มเพาะของตนเองให้มั่นคงก็ยังถูกเรียกตัวมาด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มู่หลงหยานก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เนื่องจากความเสียหายในรอบนี้มันหนักหนาเป็นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นดั่งรากฐานสำคัญของสำนักถึงสามคนกลับถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน นี่มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“พวกท่านคิดว่าอย่างไร?” หานเว่ยฮุยถามขึ้นกลางห้องโถง
“ตามความคิดของข้า ข้าคิดว่าหากฝั่งตรงข้ามนั้นมีจิตสำนึก มันก็แปลว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตและเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็สามารถต่อรองกับเขาได้ เราต้องลองเข้าไปคุยกับเขาดูว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ และให้ในสิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้เขาจากไปหรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาปล่อยคนของเราออกมา” หยูหงเว่ยกล่าวขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)