เจ้าชายซารีฟร์ต่อว่าองครักษ์ตัวแสบทั้งสองก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากห้องนอนตรงดิ่งไปยังห้องอาหารแล้วทรุดตัวนั่งอย่างกระแทกกระทั้น
“พวกเจ้าว่าเราโทรไปปรึกษาท่านพี่ฮารีฟร์ดีมั้ย”
เจ้าชายซารีฟร์เลิกคิ้วเอ่ยถามความคิดเห็นเหล่าองครักษ์ที่พากันหยุดหัวเราะไปแล้วแต่สีหน้าแววตายังคงเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความขบขำ
“จะดีหรือพะยะค่ะ ถ้าหากพระองค์โทรไปปรึกษาเจ้าชายฮารีฟร์ เจ้าชายก็ต้องทรงทราบเรื่องที่พระองค์ถูกคุณน้ำหนาวตบหน้าเอา”
ราชิตแกล้งเอ่ยค้านทั้งๆ ที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเจ้าชายฮารีฟร์นั้นทรงทราบและคอยโทรติดตามสอบถามความเคลื่อน
ไหวของผู้ที่เป็นอนุชาซึ่งพระองค์รักและเป็นห่วงอยู่เกือบทุกวัน
“เออ...นั่นสิ ถ้าหากโทรปรึกษากับท่านพี่...ท่านพี่ฮารีฟร์ต้องคาดคั้นเอาความจริงเรื่องนี้แน่นอน”
เจ้าชายนักรักเออออห่อหมกไปกับเหล่าองครักษ์ หมดอยากอาหารมื้อเช้าไปทันทีเมื่อคิดว่าหนทางในการจีบหญิงไม่ออก
“เฮ้อ! จะจีบสาวทั้งทีทำไมมันยากแบบนี้หน๋อ...ให้ตายเถอะ”
นาราพรรณนั่งเท้าคางรอแฝดพี่อยู่ในห้องครัวเล็กๆ อย่างรอคอยและใจเย็นที่สุดผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้วแต่น้ำหนาวก็ยังไม่ออกมาจากห้องนอนให้เธอชำระความเสียทีและแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงพร้อมกับเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของแฝดพี่ได้เดินเข้ามาห้องครัว
“นึกว่าจะไม่ออกมาให้ชำระความเสียแล้ว ปล่อยให้น้ำค้างนั่งหง่าวรอตั้งนาน”
น้ำค้างแกล้งต่อว่าแฝดพี่แสนสวยโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยซ้ำและเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เลื่อนถ้วยโจ๊กใส่ไข่พร้อมกับนมสดให้พี่สาว
“ขอบใจจ้ะ”
น้ำหนาวเลื่อนถ้วยโจ๊กมาตรงหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาตักกินอย่างเอร็ดอร่อยพอเงยหน้าขึ้นจะหยิบน้ำมาดื่มกลั้วคอก็มีอันต้องชะงักกึกเมื่อเจอสายตาพิฆาตของน้องสาวจ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่อง
“อิ่มหรือยังคะ น้ำค้างรอฟังคำอธิบายอยู่น่ะ”
“กลับเมืองไทยแล้วไปสมัครเป็นทนายหรือเจ้าหน้าที่สอบสวนท่าทางจะรุ่งน่ะน้ำค้าง”
น้ำหนาวเอ่ยประชดประชันน้องสาวแต่หาใช่ด้วยความโกรธเคืองไม่ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสีหน้าและแววตานั้นเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูในแฝดน้อง
“น้ำหนาว!...ตัวไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็นเลยน่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่เช้า”
นาราพรรณสั่งเสียงแข็งจ้องมองพี่สาวเขม็งไม่วางตา กับน้ำหนาวจอมบ่ายเบี่ยงเป็นที่หนึ่งต้องใช้วิธีนี้จึงจะได้คำตอบถ้าหากอ่อนข้อให้ไม่มีทางที่น้ำหนาวจะง้างปากพูดออกมา
“เฮ้อ...จะอยากรู้ไปทำไมกันหนักกันหนาน่ะน้ำค้าง กินโจ๊กเถอะจะได้รีบไปมหาวิทยาลัย”
นาราภัทรต่อว่าเบาๆ แล้วก้มหน้ากินโจ๊กต่อก็เธอไม่อยากบอกน้องสาวเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าชายซารีฟร์นี่ ก็เลย
ต้องแกล้งตัดบทแบบนี้มิฉะนั้นก็ถูกน้ำค้างซักไซ้จนเธอต้องเผลอหลุดปากออกมา
นาราพรรณมองแฝดพี่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจน้ำตาอุ่นรื้นขอบตา ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เราเป็นห่วงตัวน่ะถึงได้ถามได้เซ้าซี้ ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”
“น้ำค้าง...” น้ำหนาวตะโกนเรียกเสียงหลงรีบผุดลุกขึ้นไปฉุดรั้งน้ำค้างไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากห้องครัว
“เราขอโทษ...ที่ไม่อยากบอกก็เพราะไม่อยากให้น้ำค้างต้องมากังวลไม่สบายใจไปด้วย”
“เราเป็นพี่น้องกันน่ะน้ำหนาว เป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันแค่ไม่กี่วินาที น้ำหนาวลืมที่เราสัญากันไว้แล้วหรือ?...ถ้าหากเมื่อใดที่น้ำหนาวทุกข์ เราก็ทุกข์ด้วย เมื่อใดที่น้ำหนาวสุข เราก็สุขด้วย แล้วทำไมเวลามีเรื่องเดือดร้อนน้ำหนาวถึงไม่อยากบอกให้เราได้รับรู้”
น้ำค้างต่อว่าพี่สาวอย่างงอนๆ ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาเกลือกกลิ้งโดยรอบ ใช่ว่าจะมีแค่เธอเท่านั้นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแฝดพี่ที่กำลังยื้อยุดฉุดเธอไว้ ถ้าพี่สาวคนโตพี่น้ำเหนือรู้เรื่องเข้าก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน
น้ำหนาวยกมือเช็ดน้ำตาให้แฝดน้องพร้อมกับลูบไล้ตามต้นแขนเนียนอย่างขอลุแก่โทษจากนั้นก็ฉุดให้น้ำค้างได้นั่งลงที่เดิม
“เราขอโทษอีกครั้งน่ะน้ำค้าง ตัวยกโทษให้เราน่ะ เรานี่แย่จริงๆ” น้ำหนาวเอ่ยโทษตัวเองตีหน้าเศร้าทำตาละห้อยให้แฝดน้องได้หายโกรธเคือง
“ยกโทษให้ก็ได้แต่ต้องเล่าความจริงมาให้หมด”
น้ำค้างเอ่ยยกโทษพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้แฝดพี่ เธอเป็นเช่นนี้เสมอโกรธง่ายหายเร็วใครง้อหน่อยก็ใจอ่อนยอมยกโทษให้แล้ว ผิดกับแฝดพี่ที่เป็นประเภทโกรธง่ายหายยากบทจะดื้อด้านขึ้นมาเมื่อไหร่ต่อให้ง้อให้ตายก็ไม่ยอมหายโกรธง่ายๆ
น้ำหนาวลอบถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยบอกในที่สุด “คือ...วันศุกร์นี้อีตาพอลเขาจะจ้างให้พี่ไปเป็นบาร์เทนดี้ชงเหล้าในงานวันเกิดของเพื่อนเขา”
“จัดที่ The Long Night Pub หรือว่าจัดที่อื่น” น้ำค้างเผยแววกังวลให้เห็นขณะเอ่ยถามแฝดพี่
“เห็นว่าจัดที่คฤหาสน์บนเนินเขาอยู่นอกเมืองไปราวๆ แปดไมล์น่ะ”
น้ำหนาวตักโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปากตามด้วยนมสดอีกแก้วใหญ่พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ถ้วยโจ๊กของอีกฝ่ายแล้วพยักพเยิดให้น้ำค้างได้ตักโจ๊กกินบ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย