“ไม่เป็นไหรหรอกซื้อที่นี่ก็ได้มีของครบทุกอย่าง” เจ้าชายซารีฟร์โอบแขนไปรอบเอวคอดกิ่วพานาราภัทรเข้าไปในซูเปอร์มาเก็ตที่ทันสมัย
“ซื้ออะไรดีล่ะน้ำหนาว” เจ้าชายหนุ่มขอความคิดเห็นขณะมองอาหารสดอาหารแช่แข็งที่มีมายมายละลานตา
“เจ้าชายอยากกินน้ำพริกปลาทูผักสดไม่ใช่หรือคะ” นาราภัทรเอ่ยถามยิ้มๆ มองคนตัวใหญ่ที่เข็นรถเข็นเดินตามโดยไม่มีเคอะเขิน
“ใช่ เป็นเมนูแรกที่เรามักจะสั่งเวลาเข้าร้านอาหารไทย”
นาราภัทรทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยกับเมนูอาหารที่ค่อนข้างทำยากสำหรับการอยู่ในต่างแดนต่างถิ่นเช่นนี้
“ไม่รู้ว่ามีครกกับสากขายหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็คงทำน้ำพริกปลาทูไม่ได้”
“ใช้เครื่องปั่นไม่ได้หรือน้ำหนาว”
เจ้าชายซารีฟร์ออกความคิดเห็นพอเดินผ่านชั้นเครื่องเทศกับอาหารกระป๋องก็หยิบใส่รถเข็นโดยไม่ต้องอ่านฉลาก
“ได้เอาค่ะ ถ้าปั่นน้ำพริกจะละเอียดเกินไปไม่อร่อยเหมือนตำกับมือ”
นาราภัทรเอ่ยค้านจากนั้นก็ตีเผี้ยะลงไปบนต้นแขนของเจ้าชายนักรักก่อนจะหยิบทุกอย่างที่ถูกโยนลงไปในรถเข็นออกมาอ่านฉลากอ่านวันเดือนปีที่หมดอายุ
“นี่เจ้าชายคะ จะซื้ออาหารกระป๋องก็ต้องอ่านรายละเอียดบนฉลากก่อนสิคะ จับใส่โดยไม่อ่านอะไรเลยพอดีได้เจออาหารบูดหมดอายุ”
“โธ่...น้ำหนาวร้านเขาออกจะใหญ่โตทันสมัยแบบนี้เขาไม่ย้อมแมวขายหรอก”
เจ้าชายหนุ่มร้องโอดครวญแกล้งตีหน้าเศร้าลูบบริเวณที่ถูกตีราวกับว่าเจ็บเสียเต็มประดา
“ว่าไม่ได้ค่ะ เราเป็นผู้ซื้อต้องรอบคอบหน่อยค่ะ”
นาราภัทรกวาดสายตาอ่านฉลากอาหารอีกครั้งก่อนจะวางลงในรถเข็นเมื่อเห็นว่าอาหารกระป๋องได้ผ่านการรับรองมาตรฐานครบทุกประการ
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มอบอุ่นรู้สึกเป็นสุขใจขณะเดินตามหญิงสาวเดินเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหารมื้อพิเศษสุดในค่ำคืนนี้
“ทำน้ำพริกปลาทู ไก่ทอดเกลือแล้วก็ไข่เจียวหมูสับดีไหมคะ”
นาราภัทรถามความคิดเห็นมือบางก็หยิบโน่นหยิบนี้ใส่รถเข็นพอนึกถึงเมนูที่เอ่ยออกมาเมื่อสักครู่ก็รีบหันมาเอ่ยขอโทษเจ้าชายแห่งทะเลทรายด้วยความตกใจระคนรู้สึกผิด
“ขอโทษค่ะ น้ำหนาวลืมไปว่าเจ้าชายทานหมูไม่ได้”
เจ้าชายซารีฟร์เปิดยิ้มกว้างยกมือไปลูบใบหน้างามหวานที่เผยแววเสียใจให้เห็นก่อนจะเอ่ยปลอบ
“อย่ากังวลเลย เราทานหมูได้ เรานับถือพุทธเหมือนท่านแม่ ท่านพี่ฮารีฟร์กับน้องชารีฟร์นับถือศาสนาเดียวกับท่านพ่อ เวลาเราอยู่คนเดียวก็สั่งอาหารที่มีหมูประกอบมากินบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
“ค่อยยังชั่วหน่อยนึกว่าเจ้าชายไม่ทานหมูเสียอีก” หญิงสาวยิ้มหวานเอียงแก้มซบฝ่ามือใหญ่เป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก
“แต่ถ้าเจ้าทำเมนูที่ไม่มีหมูก็ดีเหมือนกันน่ะ เจ้าราชิตกับอาดิลจะได้ทานได้ด้วย”
“ได้ค่ะ ถ้างั้นเปลี่ยนเป็นไข่เจียวกุ้งสับก็ได้ เพิ่มผัดผักรวมมิตรอีกสักจานดีไหมคะเจ้าชาย”
“ไม่เลว ยิ่งพูดยิ่งหิว เรารีบๆ ซื้อของกันเถอะ”
เจ้าชายซารีฟร์เร่งเร้าน้ำลายส่อขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงหน้าตาสีสันของอาหารจานเด็ดที่จะขึ้นโต๊ะเย็นวันนี้และวันต่อไปในอีกทุกๆ วัน
“เจ้าชายเข็นรถให้น้ำหนาวนะคะ”
นาราภัทรออกคำสั่งจากนั้นก็เดินเลือกซื้ออาหารเป็นเวลาค่อนข้างนานเหตุที่ชักช้าเป็นเพราะเจ้าชายซารีฟร์คอยซักคอยถามถึงประโยชน์สรรพคุณของส่วนประกอบอาหารรวมทั้งเครื่องเทศที่เธอได้หยิบใส่ลงในรถเข็น ลูกค้าที่เดินจับจ่ายซื้อข้าวของอาหารสดในร้านต่างก็มองแล้วอมยิ้มให้กับหนุ่มสาวที่พวกเขาต่างคิดว่าเป็นคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่กำลังช่วยกันจ่ายตลาดด้วยท่าทางรักใคร่กระหนุงกระหนิง
ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงสำหรับการเลือกซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหารรวมทั้งการเดินทางกลับมาที่ห้องชุดหรูย่านธุระกิจใจกลางเมืองบอสตัน
นาราภัทรยืนอึ้งเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาในห้องครัวทันสมัยที่ครบครันไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวเกือบทุกชนิดทุกประเภท หญิงสาวหันกลับมามองเจ้าชายซารีฟร์ที่หอบของพะรุงพะรังเดินตามมาจากนั้นก็ได้เอ่ยถามให้หายสงสัย
“เจ้าชายทำอาหารทานทุกวันหรือคะทำไมมีอุปกรณ์ทำครัวเกือบทุกอย่าง”
“ไม่เคยทำ นานๆ ทีที่เจ้าราชิตจะว่างเข้าครัวทำอาหารให้ทานสักครั้ง”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบพร้อมกับรื้อทุกอย่างออกจากถุงกระดาษเอามาวางบนโต๊ะขนาดกลางที่ตั้งเด่นอยู่ภายในห้องครัว
“ไม่เคยทำอาหารแต่ทำไมถึงซื้ออุปกรณ์ทำครัวไว้เสียทุกอย่างเลยคะ”
“ซื้อประดับครัวไงจะได้ดูดีหน่อย”
นาราภัทรส่ายหน้าขำกับคำตอบแบบกวนๆ ของเจ้าชายหนุ่มจากนั้นก็ช่วยหยิบอาหารสด อาหารแห้งรวมทั้งผักสดออกจากถุงสีน้ำตาลแล้วรีบลงมือประกอบอาหารโดยไม่รอช้า
“จะไปไหนคะเจ้าชายซารีฟร์” หญิงสาวร้องถามยึดต้นแขนคนตัวใหญ่ไว้แน่นพร้อมกับฉุดดึงไม่ให้อีกฝ่ายเดินหนี
“เราจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อย” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงอ่อนยอมหยุดนิ่งตามแรงฉุดดึงของนาราภัทร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย