พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 36

นาราภัทร นาราพรรณรวมทั้งนักศึกษาหญิงชายต่างชาติต่างภาษาหลายร้อยคนต่างเดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมกับเสียงพูดคุยกันดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณเมื่อทุกคนได้ทำข้อสอบวิชาสุดท้ายแห่งการเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังเก่าแก่ภายในเมืองบอสตันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว

ฝาแฝดสองสาวแสนสวยแห่งสยามต่างก็เอ่ยปัดเอ่ยปฏิเสธเพื่อนๆ ที่ได้ชักชวนให้ไปร่วมงานปาร์ตี้ฉลองจบการศึกษาด้วยกัน สองสาวได้เดินมาทรุดตัวลงนั่งใต้ร่มใหญ่รอเวลาที่เจ้าชายซารีฟร์หรืออาจจะเป็นหนึ่งในองครักษ์ของเจ้าชายหนุ่มที่จะมารับพวกเธอกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์

“ในที่สุดก็เรียนจบสักที” นาราพรรณฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

“เราก็ดีใจเหมือนกัน ต่อไปจะได้ทำงานได้เต็มที่ช่วยกันเก็บเงินซื้อบ้านซื้อโรงแรมของพวกเรากลับคืน”

ถึงจะใจหายอยู่บ้างที่ต้องจากบ้านจากเมืองดินแดนศิวิไลซ์ที่ได้มาพำนักอาศัยเป็นเวลานานหลายปี แต่ในอีกนัยหนึ่งนาราภัทรก็ดีใจที่จะได้กลับไปสู่อ้อมกอดของแผ่นดินเกิด

“จะอยู่ที่บอสตันต่อไหมน้ำหนาวหรือว่ากลับบ้านเราเลย”

นาราพรรณถามความคิดเห็นของแฝดพี่ด้วยเธอเองก็อยากกลับเมืองไทยเต็มแก่ อยากกลับไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของผู้ที่เป็นบิดา

“กลับเลยสิน้ำค้าง จัดการเรื่องเรียนเรื่องอพาร์ทเม้นท์เรียบร้อยแล้วก็ไปจองตั๋วกลับเมืองไทยเลย”

“น้ำหนาว...”

นาราพรรณเอ่ยเรียกพี่สาวเสียงทุ้มลึกกำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยถามดีหรือเปล่า ในที่สุดความอยากรู้ความอึดอัดใจก็เป็นฝ่ายชนะร่ำร้องให้เอ่ยถามแฝดพี่เพื่อให้หายข้องใจ

“อะไรน้ำค้าง มีอะไรจะถามหรือเปล่า”

“เอ่อ...แล้วเรื่องของตัวกับเจ้าชายซารีฟร์จะว่าไง”

นาราภัทรหน้าถอดสีเล็กน้อยกับคำถามที่แทงใจดำของแฝดน้อง ความรักที่เกิดจากเธอแค่เพียงฝ่ายเดียวนั้นมืดมนหาคำว่าบรรจบไม่ได้ ในขณะเดียวกันความใคร่ลุ่มหลงในรสสิเสน่หาที่ถูกปลุกเร้าจากเจ้าชายซารีฟร์กลับลุกโชติช่วงจนเธอนึกละลายใจที่ตนเองทำตัวไม่ต่างกับนางในฮาเร็ม หญิงสาวเงยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตามองแฝดน้องก่อนจะเอ่ยตอบเสียงสั่นเครือ

“จบกันแค่นี้ เรากลับเมืองไทย เจ้าชายซารีฟร์กลับอัลนูรีนคงมีหญิงสาวสวยๆ รอรับเจ้าชายซารีฟร์เต็มแผ่นผืนทะเลทราย”

“ไม่ได้น่ะน้ำหนาว ตัวจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ไง ทำไมไม่ลองคุยเรื่องนี้กับเจ้าชายซารีฟร์ก่อน”

นาราพรรณตกใจกับคำพูดการตัดสินใจของพี่สาวด้วยรู้ดีว่าแฝดพี่นั้นรักเจ้าชายซารีฟร์มาก

“คุยได้แล้วอะไรขึ้นมา น้ำค้างไม่เห็นตอนที่เจ้าชายพานางแบบดังที่ชื่อลอเรนไปกินข้าวที่ร้านอาหารของแซม เขาจูบกอดกันอย่างดูดดื่มโดยไม่สนใจว่ามีเรายืนอยู่ตรงนั้น ตอนที่เจ้าชายสวมแหวนทับทิมให้ที่นิ้วเราดีใจแอบหวังลึกๆ ว่าเจ้าชายอาจมีใจรักในตัวเราบ้าง แต่เปล่าเลย...เจ้าชายซารีฟร์เป็นนักรักที่มีเงินทองล้นมือจะซื้อแหวนให้ใครก็ได้ตามที่ใจต้องการ แม้แต่ลอเรนเองก็ยังได้ของกำนัลเป็นแหวนเพชรวงงาม”

นาราภัทรเอ่ยบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ระคนเจ็บปวดกับการกระทำของเจ้าชายซารีฟร์ที่สร้างบาดแผลลึกทำให้เธอลืมไม่ลงจนถึงทุกวันนี้

“น้ำหนาว เราขอร้อง...ตัวลองคุยกับเจ้าชายก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งคิดทึกทักด่วนตัดสินใจไปเอง”

“ไม่ล่ะ เราไม่คุย เราไม่อยากเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ทันทีที่ก้าวพ้นจากบอสตันเราจะลืมทุกอย่างทิ้งความรักความภักดีที่มีต่อเจ้าชายแห่งทะเลทรายไว้ที่นี่”

นาราภัทรเอ่ยปฏิเสธความต้องการของน้องสาวใช่ว่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเสียเมื่อไหร่เธอได้ครุ่นคิดตรึกตรองถึงความรักที่มิอาจเป็นไปได้มานานหลายสัปดาห์แล้ว

“น้ำหนาว...เราขอร้องอีกครั้ง”

นาราพรรณอ้อนวอนทั้งสีหน้าแววตาแต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อพี่สาวจอมใจแข็งได้เอ่ยปฏิเสธเสียงเย็น

“หยุดเถอะน้ำค้าง อย่าขอร้องเราเลย แค่นี้เราก็เจ็บปวดมากพอแล้ว น้ำค้างอย่าพูดถึงอีกเลย”

“ก็ได้เราไม่พูดก็ได้ แต่เราขอร้องถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเราอยากให้น้ำหนาวบอกเราก่อนอย่าตัดสินใจพลการทำอะไรเพียงลำพัง” นาราพรรณคลี่ยิ้มหวานร้องขอคำมั่นจากพี่สาวคนสวย

“ได้เราสัญญา ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นน้ำค้างจะเป็นคนแรกที่ได้รับรู้และอาจจะเจ็บปวดไปกับเราด้วย”

นาราภัทรฝืนยิ้มพร้อมกับโอบกอดน้องสาวไว้แนบแน่น

เจ้าชายซารีฟร์ออกมาจากตึกอาคารเรียนในภาคส่วนเอกวิชาของตนเองแล้วเดินไปสมทบกับเหล่าองครักษ์ที่ขับรถมารออยู่หน้าตึกแล้ว

“ไปกันเถอะป่านนี้สองสาวรอเราแย่แล้ว” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยบอกเมื่อก้าวเข้ามานั่งในรถหรูคันใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พระองค์พะยะค่ะ เอกสารสำคัญส่งมาจากอัลนูรีนเพิ่งมาถึงตอนเช้าคล้อยหลังที่พระองค์มาที่มหา’ลัยได้ไม่กี่นาที”

ราชิตเอ่ยรายงานพลางเอี้ยวตัวมาด้านหลังพร้อมกับยื่นซองสีขาวสะอาดให้กับเจ้าเหนือหัว

เจ้าชายหนุ่มรับเอกสารมาเปิดออกอย่างรวดเร็วและเมื่อได้เห็นบัตรเชิญสวยงามที่เกิดจากการลงมือวาดมากกว่าการนำเข้าโรงพิมพ์ทำให้ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจและคาดไม่ถึง

“น้องชารีฟร์ส่งบัตรเชิญมาให้เรา”

“บัตรเชิญอะไรหรือพะยะค่ะ” อาดิลละสายตาจากท้องถนนมองเจ้าเหนือหัวผ่านกระจกมองหลังขณะที่เอ่ยถาม

“ชารีฟร์จะจัดนิทรรศการแสดงภาพที่หอศิลป์ในอัลนูรีน พวกเจ้าดูภาพวาดในบัตรเชิญสิ” เจ้าชายซารีฟร์ยื่นบัตรเชิญสวยงามให้องครักษ์ราชิตก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“เราไม่นึกเลยว่าน้องชารีฟร์จะวาดภาพได้งดงามถึงเพียงนี้”

“พระองค์ พิธีเปิดจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เวลา 9 นาฬิกาตามเวลาในอัลนูรีน”

ราชิตเอ่ยบอกรายละเอียดตามเนื้อหาที่เขียนเชิญเป็นภาษาอาหรับและมีภาษาอังกฤษกำกับคู่กันด้วย

“วันพรุ่งนี้งั้นหรือ? แย่ชะมัดเราไม่มีทางไปทันแน่”

เจ้าชายซารีฟร์สบถโอดครวญอย่างแสนเสียดายกับนิทรรศการที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของผู้ที่อนุชาซึ่งตัวเขาไม่สามารถเดินทางไปร่วมยินดีได้

“ท่านพี่ซารีฟร์ที่รักของน้อง”

เจ้าชายซารีฟร์แย้มยิ้มออกมาอย่างสุขใจขณะได้ยินถ้อยคำทักทายที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีที่อนุชาชารีฟร์มักจะเอ่ยเรียกตนเองหรือท่านพี่ฮารีฟร์เช่นนี้เสมอตั้งแต่อดีตเยาว์วัยจนถึงกาลปัจจุบัน

“ชารีฟร์น้องรัก พี่ได้รับบัตรเชิญจากน้องเรียบร้อยแล้ว”

“ท่านพี่ซารีฟร์มาได้หรือเปล่าพะยะค่ะ”

“เอ่อ...พี่คงเดินทางไปไม่ทัน ระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป”

เจ้าชายซารีฟร์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยเกรงว่าอนุชาจะน้อยใจที่ตนเองไม่ได้อยู่ด้วยในวันแรกของการเปิดนิทรรศการภาพวาดที่ยิ่งใหญ่และเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในแผ่นดินทะเลทรายสีทอง

“ไม่เป็นไรหรอกพะยะค่ะ นิทรรศการจัดขึ้นหลายสัปดาห์ยังไงท่านพี่ซารีฟร์ก็มาทันแน่นอน แต่ถ้าหากไม่ทันจริงๆ น้องจะเอาภาพวาดไปให้ท่านพี่ชมถึงตำหนักของท่านพี่”

เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยบอกด้วยเข้าใจดีว่าระยะทางที่ห่างไกลหลายหมื่นไมล์และกาลเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงวันเปิดนิทรรศการนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เชษฐาองค์รองไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้

“พี่อยากเห็นภาพวาดฝีมือเอกของน้อง แค่เพียงบัตรเชิญที่น้องส่งมาให้พี่ก็ดูงดงามบ่งบอกถึงฝีมือของผู้วาด พี่รู้ว่าภาพทุกภาพต้องงดงามเป็นที่ประทับใจกล่าวขานสำหรับผู้ที่ได้เข้ามาชื่นชมผลงานของน้อง”

“ท่านพี่ซารีฟร์ชมซะน้องตัวลอย”

ผู้เป็นอนุชาเอ่ยกลั้วหัวเราะ รู้สึกดีใจที่เหตุการณ์บาดหมางความเข้าใจผิดที่เกาะกินใจพี่น้องในราชวงศ์มาช้านานร่วมยี่สิบปีกว่าได้มะลายหายสิ้นไปกับละอองเม็ดทราย

เจ้าชายซารีฟร์หัวเราะร่วนกับคำเอ่ยแซวถ่อมตนของจิตกรมือหนึ่ง เมื่อองครักษ์อาดิลขับรถตีวงมาจอดใกล้ๆ กับอาคารเรียนที่ฝาแฝดแสนสวยทั้งสองนั่งรอตนเองอยู่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาคมกริบเต้นระริกมันระยับขณะก้มลงมองบัตรเชิญในมือจากนั้นก็มองไปยังนาราพรรณแฝดน้องของหญิงงามที่ตนเองรักใคร่หมดใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกขึ้นตรงมุมปากทันทีขณะเอ่ยถามอนุชา

“ชารีฟร์ น้องมีผู้ช่วยจัดงานแสดงภาพหรือยัง”

“อืม...มีแล้วพะยะค่ะ ท่านพี่ถามทำไมหรือ”

เจ้าชายองค์เล็กเอ่ยถามอย่างงุนงง ตนเองมีผู้ช่วยที่คอยดูแลงานช้างครั้งนี้มากมายหลายสิบคนทั้งผู้ที่เป็นเชษฐาองค์โต องครักษ์เอกของเชษฐาฮารีฟร์ องครักษ์ของเขาเองไม่รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพวาดและการจัดงานใหญ่ๆ เช่นนี้อีกหลายคนที่เชษฐาฮารีฟร์ได้จ้างวานให้มาดูแลงานนี้โดยเฉพาะ

เจ้าชายซารีฟร์หัวเราะร่วนอย่างนึกสนุกกับการเป็นพ่อสื่อพ่อชักปักศรรักระหว่างผู้เป็นอนุชาองค์เล็กแห่งทะเลทรายกับหญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานซึ่งตนเองรักเอ็นดูและเลื่อนฐานะให้เป็นน้องสาวคนเล็ก

“พี่รู้จักผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพวาดคนหนึ่ง ถ้าหากชารีฟร์ต้องการพี่จะส่งให้ไปช่วยงานน้องที่อัลนูรีน”

“ผู้หญิงหรือผู้ชายท่านพี่ ถ้าเป็นผู้ชายได้ก็ดีเพราะน้องอยากให้เขาช่วยงานได้เต็มที่”

ผู้เป็นเชษฐารีบหุบปากที่กำลังจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของนาราพรรณออกไปเมื่อได้ยินคำร้องขอของอนุชา เอาว่ะ...ริจะเป็นกามเทพจำเป็นก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด ขอโกหกอนุชาที่รักสักครั้งหนึ่งเถอะ

“เอ่อ...ผู้ชายน่ะชารีฟร์”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย