พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 37

ขณะเอ่ยโกหกอนุชาดวงตาคมกริบก็ขึงมองถลึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมาให้เจ้าชายชารีฟร์จับพิรุธได้

“ถ้างั้นท่านพี่ส่งเขามาได้เลย ถ้าหากเขาไม่ติดปัญหาเรื่องการเดินทางหรือเอกสารน้องอยากให้มาในวันนี้หรือพรุ่งนี้”

“แล้วพี่จะถามเขาดูก่อนน่ะว่าสะดวกเดินทางเลยหรือเปล่า ถ้าหากเขาเดินทางไปไม่ทันนิทรรศการครั้งนี้น้องจะจัดขึ้นอีกครั้งหรือเปล่าเผื่อว่าเขาจะได้ไปช่วยงานรอบหน้า”

“น้องอยากจัดที่เมืองไทยแผ่นดินเกิดของท่านแม่ท่านพี่ทั้งสอง แต่น้องยังไม่ได้ขออนุญาตท่านพี่ฮารีฟร์เลย”

ผู้ที่ทำหน้าที่กามเทพจำเป็นแทบกระโดดตัวลอยขณะที่ฟังถ้อยคำเอ่ยบอกแกมปรึกษาของอนุชา อาจจะเป็นการยากอยู่บ้างที่จะให้นาราพรรณเดินทางไปที่อัลนูรีน แต่ถ้าหากชารีฟร์มาจัดนิทรรศการแสดงภาพที่เมืองไทยก็เป็นการง่ายยิ่งขึ้นที่จะจับคู่ให้คนที่รักในงานศิลปะได้พบเจอะเจอกัน

“พี่สนับสนุนเต็มที่ถ้าหากน้องจะจัดแสดงภาพที่เมืองไทย ท่านพี่ฮารีฟร์เองก็ยินดีเช่นเดียวกันที่จิตกรเอกอย่างน้องให้เกียรติไปแสดงภาพยังดินแดนแผ่นดินของท่านแม่ พี่อวยพรให้ชารีฟร์ประสบความสำเร็จกับงานที่น้องรัก”

“ขอบพระทัยท่านพี่ทั้งสองที่อวยพรให้น้อง เมื่อไหร่ท่านพี่จะเดินทางกลับอัลนูรีนพะยะค่ะ”

“อีกสักพักน่ะชารีฟร์”

เจ้าชายซารีฟร์ลอบถอนหายใจยาวกับความรักที่ยังคงมืดมนไร้หนทางที่จะบรรจบเข้าหากัน

“น้องไม่รบกวนเวลาท่านพี่แล้ว แค่ท่านพี่โทรมาหา น้องก็ดีใจมากแล้ว น้องจะรอวันที่เราสามพี่น้องได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง”

“เดี๋ยวก่อนชารีฟร์” ผู้เป็นเชษฐาเอ่ยเรียกไว้ก่อนที่อนุชาจะตัดสายจากนั้นก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เจ้าชายชารีฟร์ได้แย้มยิ้มออกมาทั้งวัน

“พี่ไม่เคยคิดว่าน้องเป็นคนอื่น ชารีฟร์ยังคงเป็นอนุชาที่น่ารักคอยเดินตามพี่กับท่านพี่ฮารีฟร์เสมอ พี่รักชารีฟร์น้องรักของพี่”

“น้องก็รักและเทิดทูนท่านพี่ทั้งสองเสมอ”

เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มกว้างอย่างสุขใจขณะได้ฟังถ้อยคำที่เอ่ยออกมาอย่างจงรักภักดีของอนุชา เขากดวางสายพลางส่งโทรศัพท์ให้กับราชิต

“พระองค์จะจับคู่เจ้าชายชารีฟร์กับคุณนาราพรรณงั้นหรือพะยะค่ะ” องครักษ์ราชิตเอ่ยถามอีกครั้งให้คลายอาการสงสัย

“ใช่ เราจะจับคู่จิตกรเอกกับหญิงสาวที่หลงรักศิลปะให้มาร่วมหอลงโรงกัน”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มแพรวพราวที่ประดับทั่วใบหน้าคมเข้ม บัตรเชิญที่วาดขึ้นอย่างงดงามประณีตบรรจงจะเป็นศรตัวแรกที่ถูกใช้เป็นสื่อรักระหว่างสองหนุ่มสาว

นาราภัทรรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติกะพริบตาให้ความหมองเศร้าได้จางหายไปกับสายลมที่โบกพัดผ่านเมื่อได้เห็นเรือนกายกำยำของเจ้าชายที่ตนเองรักยิ่งกว่าสิ่งใดได้เดินตรงดิ่งพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างมายังบริเวณที่เธอกับน้องสาวได้นั่งอยู่

“มารอนานหรือยัง”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยถามยิ้มๆ สอดแขนแข็งแกร่งไปรอบเอวบางคอดกิ่วของหญิงอันเป็นที่รักอยากจะกดประทับจุมพิตยังพวงแก้มแดงปลั่งให้หัวใจชุ่มชื่นแต่ก็ไม่กล้าทำดังที่ใจปรารถนาเนื่องจากเกรงใจผู้ที่เป็นแฝดน้องซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากพี่สาว

“มารอได้สักพักแล้วค่ะ”

นาราภัทรฝืนยิ้มให้เจ้าชายหนุ่ม อยากยกมือขึ้นโอบกอดไปรอบเอวหนาเพื่อกระชับความอบอุ่นให้คงอยู่กับเรือนกายของตนเองตลอดไปแต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการยืนนิ่งพยายามซึมซับความอบอุ่นไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะทำได้เพราะอีกไม่นานก็จะไม่มีอ้อมแขนคู่นี้ประคองกอดเธออีกต่อไป

“ขอโทษที เรามัวแต่คุยธุระกับน้องชารีฟร์เลยทำให้มาไม่ทันนัด”

เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มบางๆ ขอลุแก่โทษไม่เคยลำบากใจสำหรับการเอ่ยขอโทษแก้วตาดวงใจของตนเอง

“เจ้าชายคุยธุระเสร็จหรือยังคะ ถ้าไงน้ำหนาวกับน้ำค้างรอได้ค่ะ”

“เรียบร้อยแล้ว ชารีฟร์กำลังจะเปิดนิทรรศการแสดงภาพวาดผลงานของตัวเอง ชารีฟร์ส่งบัตรเชิญมาให้เราด้วยแต่เราคงไปไม่ได้”

เจ้าชายซารีฟร์ลอบมองนาราพรรณทางหางตาเมื่อได้ยินกริยาที่เรียกว่าหูผึ่งเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจของแฝดน้องคนสวยก็ทำให้ซ่อนรอยยิ้มไว้แทบไม่ทัน

นาราพรรณเบิกตาโตเมียงมองบัตรเชิญที่เจ้าชายซารีฟร์ถือโบกไปมาด้วยความสนใจอยากเห็นบัตรเชิญที่ว่า แค่เพียงได้ยินคำว่านิทรรศการภาพวาดทำให้เธอตื่นเต้นอยากไปชื่นชมกับผลงานศิลปะของจิตกรเอกแต่ละท่าน

“เอ่อ...เจ้าชายคะ น้ำค้างขอดูบัตรเชิญหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิ น้ำค้างจะเอาไปเลยก็ได้หรือถ้าหากอยากไปดูภาพถึงสถานที่จริงก็บอกน่ะเราจะให้อาดิลพาไป”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้าคมเข้มขณะยื่นบัตรเชิญที่ใส่ไว้ในซองสีขาวสะอาดให้กับนาราพรรณ

“แหม...ไม่เป็นไรหรอกคะ ในบอสตันแค่นี้น้ำค้างไปเองได้ค่ะ”

เพราะยังไม่เห็นบัตรเชิญและเข้าในผิดคิดว่านิทรรศการถูกจัดขึ้นในบอสตันนาราพรรณจึงได้เอ่ยปฏิเสธความใจดีของเจ้าชายซารีฟร์แต่เมื่อได้เห็นรายละเอียดที่ระบุเป็นภาษาอาหรับควบคู่กับภาษาอังกฤษก็มีอันต้องเบิกตาโตตีสีหน้าเศร้าร้องครวญออกมาอย่างแสนเสียดาย

“นิทรรศการจัดที่อัลนูรีน...โธ่...น้ำค้างนึกว่าจัดในบอสตันเสียอีก เสียดายจังเลยที่ไม่ได้เป็นชมผลงานของจิตกรชื่อดัง”

“อยากไปไหมน้ำค้าง เดี๋ยวให้อาดิลจัดการเรื่องการเดินทางทั้งหมดให้”

เจ้าชายหนุ่มเอ่ยชวนลุ้นระทึกว่านาราพรรณจะตอบรับหรือเปล่า ขณะเดียวกันก็ได้ผายมือเชิญให้สองสาวเดินไปที่รถหรูคันใหญ่ซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างสักเท่าไหร่

“ยิ่งกว่าอยากไปเสียอีกค่ะ แต่น้ำค้างไม่มีเอกสารอนุญาตให้เข้าประเทศอัลนูรีน อีกอย่างน้ำค้างก็อยากกลับเมืองไทยด้วยคิดถึงคุณพ่อใจจะขาดแล้วค่ะ”

สุภาษิตที่ว่า ‘รักพี่เสียดายน้อง’ คงใช้ได้ดีกับนาราพรรณในขณะนี้ใจหนึ่งก็อยากไปชื่นชมภาพวาดอันแสนงดงามที่ตนเองหลงใหลเข้ากระดูกดำแต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงบุพการีที่จากกันมานาน

เจ้าชายซารีฟร์หัวเราะร่วนพลางเปิดประตูรถให้นาราพรรณเข้าไปก่อนตามด้วยแก้วตาดวงใจของตนเองที่นิ่งเงียบฟังเขาสนทนาเป็นเวลานานและเมื่อรถยนต์คันงามเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างนุ่มนวลด้วยฝีมือการขับของสารถีเอกอย่างอาดิลเขาก็ได้เอ่ยบอกผู้ที่หลงใหลศิลปะเข้าเส้นเลือดอีกครั้ง

“ถ้าหากน้ำค้างอยากไปจริงๆ ก็ขอให้บอก เป็นถึงน้องสาวของเจ้าชายฮารีฟร์ เจ้าชายซารีฟร์ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารเข้าประเทศหรอก”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกตามความเป็นจริง แค่นาราพรรณขึ้นเครื่องบินหลวงไปที่อัลนูรีนเจ้าหน้าที่ในท่าอากาศยานก็พร้อมให้การต้อนรับอารักขาอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี เขาคลี่ยิ้มอบอุ่นให้นาราพรรณซึ่งกำลังยิ้มแป้นดวงตาเต้นระริกด้วยความดีใจจากนั้นก็ละสายตามาทอดมองหญิงงามที่นั่งเงียบแนบชิดกับเรือนกายของตนเอง ใบหน้าคมเข้มลดลงจนริมฝีปากสีสดแตะสัมผัสบางเบาลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดตรงพวงแก้มที่แดงซ่านขึ้นมาทันตาเห็นเมื่อต้องกับเรียวปากของตน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย