ในวันที่ฝาแฝดแสนสวยทั้งสองต้องเดินทางกลับสู่อ้อมกอดของแผ่นดินถิ่นสยาม...กระเป๋าเดินทางใบใหญ่จำนวน 4 ใบถูกลำเลียงมากองรวมกันอยู่ที่ห้องรับแขกเล็กๆ นาราภัทรเดินสำรวจความเรียบร้อยภายในห้องเล็กที่อาศัยอยู่มานานหลายปีว่าไม่มีสิ่งใดหลงลืมอยู่จากนั้นก็เดินออกมาสมทบกับแฝดน้องที่ทำหน้ามุ่ยตีหน้ายุ่งมองตั๋วเครื่องที่ถืออยู่ในมืออย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่
“ที่จริงพวกเราน่าจะไปกับเจ้า...”
“ไม่ต้องพูดแล้วน่ะน้ำค้าง ถ้าตัวยังไม่เลิกคร่ำครวญถึงเจ้าชายใจร้ายเราจะกลับเมืองไทยคนเดียว”
นาราภัทรเอ่ยสวนกลับต่อว่าน้องสาวทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำไป หลังจากทะเลาะกันครั้งสุดท้ายที่เจ้าชายซารีฟร์เป็นผู้เดินหนีจากไปแล้วเธอยังไม่ได้พบเจ้าชายหนุ่มอีกเลยเรื่องการไปทำอาหารให้เจ้าชายรับประทานทุกวันก็ถูกงดไปโดยปริยายด้วยไม่รู้ว่าเจ้าชายซารีฟร์ยังต้องการแม่บ้านเช่นเธออยู่หรือเปล่า
“ไม่พูดก็ได้ เฮ้อ...เสียดายค่าตั๋วเครื่องบินจังเลยเนอะน้ำค้าง”
นาราพรรณตีหน้ายุ่งแกล้งทำเป็นเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะเปิดประตูออกกว้างแล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ไปวางรวมกันอยู่หน้าห้องและเมื่อได้เห็นคนที่ตนเองกำลังบ่นถึงยืนสงบนิ่งอยู่หน้าห้องก็รีบยกมือปิดปากไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา
“บ่นอยู่นั่นแหละยายน้ำค้างบ่นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายอยากรู้จริงๆ ถ้าถึงเมืองไทยแล้วยังจะบ่นอยู่อีกหรือเปล่า”
เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาปล้ำกับการลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจากห้องรับแขกนาราภัทรจึงไม่ทันได้มองคนที่ยืนนิ่งขึงรออยู่หน้าห้อง
“ราชิตอาดิลเอากระเป๋าไปเก็บที่รถ”
เจ้าชายซารีฟร์ออกคำสั่งเสียงราบเรียบยกมือกอดอกขึงตามองนาราภัทรที่ดื้อดึ้งไม่ยอมให้องครักษ์ทั้งสองรับกระเป๋าเดินทางไปง่ายๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอาดิลคุณราชิต น้ำหนาวเรียกรถแท็กซี่ไว้แล้วไม่รบกวนใครบางคนหรอกค่ะ”
เจ้าชายซารีฟร์หน้าตึงเมื่อถูกประชดกลายๆ เท้าใหญ่แข็งแกร่งในรองเท้าหนังแท้สืบเข้าหาร่างบางอย่างช้าๆ ราวกับราชสีห์หนุ่มกำลังจะตะครุบกระต่ายน้อย ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาก้มลงจนจมูกโด่งงามสัมผัสหนักหน่วงตรงพวงแก้มอิ่มเอิบพร้อมกันนั้นก็กระซิบบอกเสียงลอดไรฟัน
“ถ้าหากเจ้าหมายถึงแท็กซี่คันสีเหลืองที่จอดรออยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ตอนนี้คงไม่มีแล้วเพราะเราไล่มันไปก่อนหน้าไม่กี่นาที”
“เจ้าชายซารีฟร์!” นาราภัทรตวาดเสียงหนักๆ ถลึงตามองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาหน้าตบด้วยสายตาขัดเคืองระคนโมโห
“จะบ้าอำนาจเผด็จการไปถึงไหน ถอยออกไปน้ำหนาวจะไปสนามบิน”
มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักกำแพงมนุษย์ให้ถอยออกห่างแต่ยิ่งผลักตัวเธอเองก็ยิ่งถูกกอดรัดตวัดแน่นให้ตกไปอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่น
“จะไปสนามบินก็ไปพร้อมกัน เครื่องบินหลวงจอดรออยู่ที่สนามบินแล้ว”
ขณะเอ่ยบอกลำแขนแข็งแกร่งก็กอดกระชับร่างบางระหงหอมกรุ่นจรุงใจไว้แน่นไม่ให้คนในอ้อมแขนดิ้นหนีได้
“น้ำหนาวไม่ไปกับเจ้าชาย เราจองตั๋วไว้แล้ว”
นาราภัทรพยายามขืนตัวยกมือยันอกกว้างไว้ไม่ให้เรือนกายของตนเองแนบไปกับกองไฟร้อนผ่าวที่สร้างกระแสความตื่นตัววาบหวิวให้กับเธอทุกครั้งที่ถูกจับต้องแตะสัมผัส
เจ้าชายซารีฟร์หันไปมองตั๋วเครื่องบินที่นาราพรรณถืออยู่ในมือจากนั้นก็ร้องขอเสียงอบอุ่น
“น้ำค้างเอาตั๋วให้เราดูหน่อย”
“ได้เลยค่ะ” นาราพรรณยิ้มแป้นรีบยื่นตั๋วทั้งสองใบให้ผู้ร้องขอด้วยความยินดีโดยไม่สนใจอาการขึงตามองของพี่สาว
เจ้าชายหนุ่มละแขนข้างหนึ่งยื่นไปรับตั๋วเครื่องบินมาจากนาราพรรณเมื่อกวาดสายตาเห็นเครื่องหมายการค้าตราสัญลักษณ์ของสายการบินที่เด่นหราอยู่หน้าตั๋วก็กระตุกยิ้มเย็นตรงมุมปากแล้วยื่นตั๋วทั้งสองใบให้กับองครักษ์โดยไม่ลืมสั่งงานเสียงเข้มทำให้นาราภัทรเดือดขึ้นมาอีกหน
“ราชิตโทรไปยกเลิกตั๋วทั้งสองใบนี้ซะ”
“พะยะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
องครักษ์ราชิตรับตั๋วมามองครู่หนึ่งก่อนจะรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์ต่อตรงไปยังผู้อำนวยการสายการบิน รอจนอีกฝ่ายรับสายจากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งจากเจ้าเหนือหัวไปสู่ผู้อำนวยการด้วยภาษาอาหรับ
นาราภัทรหน้าแดงก่ำโผเข้าทุบอกกว้างด้วยความโกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้น่ะ เจ้าชายไม่มีสิทธิ์มายกเลิกตั๋วเครื่องบินของน้ำหนาว”
“เจ้าของสายการบินไม่มีสิทธิ์แล้วไอ้บ้าที่ไหนจะมีสิทธิ์ล่ะน้ำหนาว” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบเสียงเย็นส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์ยกกระเป๋าลงไปด้านล่าง
“อะไรน่ะ หมายความว่าไง”
“โอ...น้ำหนาว...เรากำลังคลั่งเพราะความต้องการของเจ้า”
เจ้าชายซารีฟร์คำรามลั่นกัดฟันกรอดระงับความต้องการที่กำลังเดือดพล่านไว้เต็มที่ ลำแขนแข็งแกร่งโอบกอดอุ้มร่างบางระหงไว้ในอ้อมแขน มือหนาสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดขณะสอดลูกกุญแจกับลูกบิดประตูและเมื่อทำได้สำเร็จก็ใช้เท้าใหญ่โตเตะประตูให้เปิดออกกว้างแล้วรีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องนอนห้องเล็กของหญิงสาวโดยไม่ยอมผละริมฝีปากออกจากความหวานฉ่ำดื่มด่ำแม้แต่วินาทีเดียว
ด้วยเวลาอันแสนมีค่าแค่ไม่กี่สิบนาทีทำให้การโลมเล้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับหนุ่มสาวที่ต่างก็พร้อมพรักสำหรับการสอดประสานมอบเพลิงพิศวาทอันแสนเร่าร้อนให้แก่กันทันทีที่กางเกงสีดำสนิทถูกรูดลงมากองที่หัวเข่ากองไฟร้อนฉ่าก็เผยกายเด่นตระหง่านจ่อเข้าไปใกล้กับปากทางแห่งความหฤหรรษ์ที่เปียกชื้นรอรับอยู่แล้ว ผ้าลูกไม้บางเบาเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ถูกกระชากออกอย่างรีบเร่งจากนั้นกองไฟร้อนผ่าวก็กระโจนโจมจ้วงจมดิ่งเข้าสู่ความหวานชุ่มฉ่ำที่แอ่นกายสอดประสานบรรเลงเพลิงรักในห้วงทำนองที่ต่างก็รู้และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
นาราภัทรกรีดเล็บไปทั่วสะโพกเปล่าเปลือยแข็งแกร่งเร่งเร้าจังหวะขยับสอดประสานให้เร็วขึ้นตามคลื่นเพลิงสวาทที่ถาโถมโหมกระหน่ำจนเรือนกายสั่นสะท้านปลดปล่อยเสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมซาบซ่านทุกครั้งที่เจ้าชายหนุ่มได้โจนจ้วงหนักหน่วงเร่าร้อนตามความต้องการของเธอ
เจ้าชายซารีฟร์ครวญครางคำรามแทบไม่เป็นภาษาขณะที่บรรเลงเพลิงรักอย่างหนักหน่วงดุดันตามความต้องการของหญิงอันเป็นที่รัก การแอ่นกายตอบรับขยักโยกตามท่องทำนองเพลิงสวาทที่เขาเป็นผู้บรรเลงชักนำพาได้อย่างเร่าร้อนดุดันพอๆ กันทำให้เขาสำลักความสุขอันแสนวิเศษหฤหรรษ์ที่ไม่เคยมีหญิงใดตอบสนองและทำได้มาก่อน และเมื่อพายุรักเพลิงพิศวาสได้ซาซัดมาถึงฟากฝั่งแห่งความหรรษาก็ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดถ่ายเทลงไปกับการโจนจ้วงครั้งสุดท้ายที่ได้กดกระหน่ำรุนแรงกว่าทุกครั้งจนธารลาวาร้อนๆ ได้แตกพร่าไหลซ่านเข้าสู่กุหลาบหวานฉ่ำ
นาราภัทรกรีดร้องลั่นกับคลื่นเสน่หาความสุขสมอิ่มเอิบใจที่แล่นพล่านไปทั่วเรือนกาย หญิงสาวปรือตาหวานเยิ้มมองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่กำลังแย้มยิ้มให้อย่างล้อเลียนขณะถอนกายออกช้าๆ พร้อมกับสวมผ้าลูกไม้สีหวานให้ด้วยกริยาทะนุถนอมอ่อนโยน
“มีแรงลุกขึ้นเดินหรือเปล่าน้ำหนาว”
นาราภัทรส่ายหน้าปฏิเสธเขินอายหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวไปทั้งตัวกับถ้อยคำเอ่ยแซวและแววตาที่มองมาอย่างล้อเลียน
“อยากให้เราอุ้มลงไปด้านล่างไหม”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอาสาอย่างใจดีและไม่ต้องรอคำตอบรับแขนแข็งแกร่งช้อนอุ้มร่างบางอ่อนระทวยมาไว้ในอ้อมแขนจากนั้นก็พาเดินออกไปจากห้อง
“เจ้าชายวางน้ำหนาวลงเถอะค่ะ” หญิงสาวกระซิบบอกแผ่วเบาเมื่อถูกอุ้มเข้ามาในลิฟท์แล้ว
“แน่ใจน่ะว่ายืนอยู่”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยแซวกลั้วหัวเราะจากนั้นก็วางร่างบางระหงให้เท้าแตะสัมผัสกับพื้นลิฟท์แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงโอบกอดไว้เบาๆ ด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะล้มลงไปกองกับพื้น
“เลิกแซวได้แล้วค่ะ แค่นี้น้ำหนาวก็อายจะแย่อยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย