พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 38

ในวันที่ฝาแฝดแสนสวยทั้งสองต้องเดินทางกลับสู่อ้อมกอดของแผ่นดินถิ่นสยาม...กระเป๋าเดินทางใบใหญ่จำนวน 4 ใบถูกลำเลียงมากองรวมกันอยู่ที่ห้องรับแขกเล็กๆ นาราภัทรเดินสำรวจความเรียบร้อยภายในห้องเล็กที่อาศัยอยู่มานานหลายปีว่าไม่มีสิ่งใดหลงลืมอยู่จากนั้นก็เดินออกมาสมทบกับแฝดน้องที่ทำหน้ามุ่ยตีหน้ายุ่งมองตั๋วเครื่องที่ถืออยู่ในมืออย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่

“ที่จริงพวกเราน่าจะไปกับเจ้า...”

“ไม่ต้องพูดแล้วน่ะน้ำค้าง ถ้าตัวยังไม่เลิกคร่ำครวญถึงเจ้าชายใจร้ายเราจะกลับเมืองไทยคนเดียว”

นาราภัทรเอ่ยสวนกลับต่อว่าน้องสาวทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำไป หลังจากทะเลาะกันครั้งสุดท้ายที่เจ้าชายซารีฟร์เป็นผู้เดินหนีจากไปแล้วเธอยังไม่ได้พบเจ้าชายหนุ่มอีกเลยเรื่องการไปทำอาหารให้เจ้าชายรับประทานทุกวันก็ถูกงดไปโดยปริยายด้วยไม่รู้ว่าเจ้าชายซารีฟร์ยังต้องการแม่บ้านเช่นเธออยู่หรือเปล่า

“ไม่พูดก็ได้ เฮ้อ...เสียดายค่าตั๋วเครื่องบินจังเลยเนอะน้ำค้าง”

นาราพรรณตีหน้ายุ่งแกล้งทำเป็นเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะเปิดประตูออกกว้างแล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ไปวางรวมกันอยู่หน้าห้องและเมื่อได้เห็นคนที่ตนเองกำลังบ่นถึงยืนสงบนิ่งอยู่หน้าห้องก็รีบยกมือปิดปากไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา

“บ่นอยู่นั่นแหละยายน้ำค้างบ่นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายอยากรู้จริงๆ ถ้าถึงเมืองไทยแล้วยังจะบ่นอยู่อีกหรือเปล่า”

เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาปล้ำกับการลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจากห้องรับแขกนาราภัทรจึงไม่ทันได้มองคนที่ยืนนิ่งขึงรออยู่หน้าห้อง

“ราชิตอาดิลเอากระเป๋าไปเก็บที่รถ”

เจ้าชายซารีฟร์ออกคำสั่งเสียงราบเรียบยกมือกอดอกขึงตามองนาราภัทรที่ดื้อดึ้งไม่ยอมให้องครักษ์ทั้งสองรับกระเป๋าเดินทางไปง่ายๆ

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอาดิลคุณราชิต น้ำหนาวเรียกรถแท็กซี่ไว้แล้วไม่รบกวนใครบางคนหรอกค่ะ”

เจ้าชายซารีฟร์หน้าตึงเมื่อถูกประชดกลายๆ เท้าใหญ่แข็งแกร่งในรองเท้าหนังแท้สืบเข้าหาร่างบางอย่างช้าๆ ราวกับราชสีห์หนุ่มกำลังจะตะครุบกระต่ายน้อย ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาก้มลงจนจมูกโด่งงามสัมผัสหนักหน่วงตรงพวงแก้มอิ่มเอิบพร้อมกันนั้นก็กระซิบบอกเสียงลอดไรฟัน

“ถ้าหากเจ้าหมายถึงแท็กซี่คันสีเหลืองที่จอดรออยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ตอนนี้คงไม่มีแล้วเพราะเราไล่มันไปก่อนหน้าไม่กี่นาที”

“เจ้าชายซารีฟร์!” นาราภัทรตวาดเสียงหนักๆ ถลึงตามองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาหน้าตบด้วยสายตาขัดเคืองระคนโมโห

“จะบ้าอำนาจเผด็จการไปถึงไหน ถอยออกไปน้ำหนาวจะไปสนามบิน”

มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักกำแพงมนุษย์ให้ถอยออกห่างแต่ยิ่งผลักตัวเธอเองก็ยิ่งถูกกอดรัดตวัดแน่นให้ตกไปอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่น

“จะไปสนามบินก็ไปพร้อมกัน เครื่องบินหลวงจอดรออยู่ที่สนามบินแล้ว”

ขณะเอ่ยบอกลำแขนแข็งแกร่งก็กอดกระชับร่างบางระหงหอมกรุ่นจรุงใจไว้แน่นไม่ให้คนในอ้อมแขนดิ้นหนีได้

“น้ำหนาวไม่ไปกับเจ้าชาย เราจองตั๋วไว้แล้ว”

นาราภัทรพยายามขืนตัวยกมือยันอกกว้างไว้ไม่ให้เรือนกายของตนเองแนบไปกับกองไฟร้อนผ่าวที่สร้างกระแสความตื่นตัววาบหวิวให้กับเธอทุกครั้งที่ถูกจับต้องแตะสัมผัส

เจ้าชายซารีฟร์หันไปมองตั๋วเครื่องบินที่นาราพรรณถืออยู่ในมือจากนั้นก็ร้องขอเสียงอบอุ่น

“น้ำค้างเอาตั๋วให้เราดูหน่อย”

“ได้เลยค่ะ” นาราพรรณยิ้มแป้นรีบยื่นตั๋วทั้งสองใบให้ผู้ร้องขอด้วยความยินดีโดยไม่สนใจอาการขึงตามองของพี่สาว

เจ้าชายหนุ่มละแขนข้างหนึ่งยื่นไปรับตั๋วเครื่องบินมาจากนาราพรรณเมื่อกวาดสายตาเห็นเครื่องหมายการค้าตราสัญลักษณ์ของสายการบินที่เด่นหราอยู่หน้าตั๋วก็กระตุกยิ้มเย็นตรงมุมปากแล้วยื่นตั๋วทั้งสองใบให้กับองครักษ์โดยไม่ลืมสั่งงานเสียงเข้มทำให้นาราภัทรเดือดขึ้นมาอีกหน

“ราชิตโทรไปยกเลิกตั๋วทั้งสองใบนี้ซะ”

“พะยะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

องครักษ์ราชิตรับตั๋วมามองครู่หนึ่งก่อนจะรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์ต่อตรงไปยังผู้อำนวยการสายการบิน รอจนอีกฝ่ายรับสายจากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งจากเจ้าเหนือหัวไปสู่ผู้อำนวยการด้วยภาษาอาหรับ

นาราภัทรหน้าแดงก่ำโผเข้าทุบอกกว้างด้วยความโกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้น่ะ เจ้าชายไม่มีสิทธิ์มายกเลิกตั๋วเครื่องบินของน้ำหนาว”

“เจ้าของสายการบินไม่มีสิทธิ์แล้วไอ้บ้าที่ไหนจะมีสิทธิ์ล่ะน้ำหนาว” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบเสียงเย็นส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์ยกกระเป๋าลงไปด้านล่าง

“อะไรน่ะ หมายความว่าไง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย