นาราภัทรงึมงำร้องขอกับแผงอกกว้างลำแขนเนียนขาวผ่องโอบกอดไปรอบเอวหนา ริมฝีปากอวบอิ่มกดประทับจุมพิตพร้อมกับแอบสูดกลิ่นกายหอมสะอาดกลิ่นอาฟเตอร์เชฟเข้าสู่เรือนกายของตนเอง
“ตกลง...ไม่แซวก็ได้”
เจ้าชายนักรักเอ่ยบอกราวกับเชื่อฟังคำร้องขอของหญิงสาวเสียเต็มประดา รอยยิ้มพรายปรากฏให้เห็นทั่วใบหน้าหล่อเหลามีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้ม ดวงตาคมเต้นระริกแพรวพราวมันระยับขณะลดริมฝีปากบรรจงจุมพิตตรงกระหม่อมบางและพวงแก้มก่อนจะเอ่ยบอกความในใจของตนเอง
“เราชอบบทรักเมื่อสักครู่ ถึงจะมีเวลาไม่มากแต่ก็เร่าร้อนทำให้เราเดือดพล่านสุขสมจนสำลัก”
“หยุดพูดเลยน่ะ”
นาราภัทรตวาดแว้ดขึงตามองข่มความอายของตนเองจากนั้นก็ยกมือทุบลงไปหนักๆ บนอกกว้างกำยำ แค่นี้เธอก็อายจะแย่อยู่แล้วไม่รู้ว่าจะมองหน้าน้องสาวกับเหล่าองครักษ์ยังไงติด
เจ้าชายหนุ่มหัวเราะร่วนพร้อมกับแสร้งถอนหายใจยาวราวกับหนักใจเสียเต็มประดา ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาใกล้จนจมูกโด่งเป็นสันได้รูปสวยสัมผัสกับจมูกโด่งที่รับกับดวงหน้าหวานลออ ดวงตาคมกริบเต้นระริกแย้มยิ้มขณะที่เจ้าตัวแกล้งเอ่ยตัดพ้อกลายๆ
“เฮ้อ...แซวก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ถ้างั้นก็ทำเหมือนเมื่อสักครู่ดีกว่า”
“เจ้าชายซารีฟร์อย่าบ้าน่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
นาราภัทรร้องห้ามเสียงสูงกลัวเจ้าชายซารีฟร์จอมเผด็จการจะบ้าบิ่นทำตามที่พูดจริงๆ และถึงตอนนั้นเธอเองก็คงศิโรราบไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต้านทานเพลิงสวาทไว้ได้
“เราล้อเล่นน่ะน้ำหนาว ตอนนี้ไม่มีแรงต่อยกสองหรอก ขอโดปไข่ไก่สัก 3-4 ฟองก่อนค่อยต่อยกสองสามบนเครื่องบิน”
“เจ้าชายซารีฟร์”
นาราภัทรกัดฟันกรอดเอ่ยเรียกเสียงสูงลอดไรฟัน คราวนี้เธอยกมือทั้งสองทุบไปบนอกกว้างพร้อมๆ กันแต่แทนที่คนตัวใหญ่จะร้องประท้วงกลับหัวเราะร่วนกุมมือเล็กไว้แล้วกดจุมพิตหนักหน่วงตรงใจกลางฝ่ามือทั้งสองและเน้นหนักตรงนิ้วเรียวยาวข้างซ้ายซึ่งมีแหวนทับทิมวงงามสวมประดับอยู่
“เราดีใจที่เจ้าหยิบแหวนวงนี้มาสวมอีกครั้ง”
เจ้าชายซารีฟร์กดจุมพิตหวานฉ่ำทั่วเรียวปากอิ่มสีกุหลาบพอผละริมฝีปากออกและรู้ว่าแก้วตาดวงใจตนเองกำลังจะอ้าปากเอ่ยพูดให้เจ็บร้าวก็รีบเอ่ยห้ามทันที
“เรารู้ว่าเจ้าจะพูดว่าอะไร ขอร้อง...เก็บกักมันไว้สักพักเถอะอย่างน้อยๆ ก็ขอให้เราสองคนเดินทางสู่แผ่นดินถิ่นเกิดของเจ้าอย่างเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน หยุดการทำร้ายหัวใจกันและกันไว้สักพัก”
“ก็ได้ค่ะน้ำหนาวจะไม่พูดเจ้าชายเองก็ห้ามสะกิดทำให้น้ำหนาวเสียใจเหมือนกัน”
“ได้ เราสัญญาด้วยเกียรติของเจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีน”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ชูนิ้วก้อยไปข้างหน้ารอให้หญิงสาวเกี่ยวก้อยเพื่อเป็นพันธะสัญญาว่าจะสงบศึกกันชั่วคราวแค่ไม่กี่สิบชั่วโมงระหว่างเดินทางกลับเมืองไทย
นาราภัทรหลุบสายตามองนิ้วเรียวยาวที่ยื่นรออยู่เบื้องหน้าจากนั้นก็ลอบถอนหายใจขอเว้นวรรคความเจ็บปวดพักเรื่องความบาดหมางใจไว้สักพักขอซึมซับความรักความอบอุ่นไว้กับกายใจก่อนที่จะไม่มีให้กับเธออีกต่อไป ใบหน้างามเงยขึ้นแล้วแย้มยิ้มหวานพิมพ์ใจยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับปลายนิ้วก้อยของอีกฝ่ายที่ยื่นรอก่อนหน้าพร้อมกับยิ้มอบอุ่นให้กับเธอเช่นเดียวกัน
ภาพของหนุ่มสาวที่เดินเกี่ยวก้อยกันตรงมายังรถยนต์หรูคันใหญ่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้แก่กันสร้างความโล่งอกให้กับนาราพรรณและเหล่าองครักษ์เป็นอย่างมาก
“ออกรถได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันกำหนดการเดินทาง” เจ้าชายซารีฟร์ออกคำสั่งเมื่อเข้ามานั่งภายในรถเรียบร้อยแล้ว
“พะยะค่ะพระองค์”
องครักษ์อาดิลรับคำสั่งจากนั้นก็ออกรถอย่างนุ่มนวลมุ่งตรงไปยังท่าอากาศยานนานาชาติเจเนอรัล เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ โลแกนซึ่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเครื่องบินหลวงพร้อมด้วยนักบินได้จอดรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“น้ำหนาวตัวว่าเราโทรไปบอกคุณพ่อกับป้าจันก่อนไหมว่าเรากำลังจะกลับเมืองไทยแล้ว”
นาราพรรณเอ่ยถามความคิดเห็นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแทบรอเวลาการเดินทางถึงเมืองไทยเหยียบแผ่นดินแม่ไม่ไหว
“โทรไปบอกคุณพ่อก่อนก็ได้ แต่น้ำค้างเป็นคนบอกเราเองไม่ใช่หรือว่าอยากเซอร์ไพรส์ให้คุณพ่อกับป้าจันตื่นเต้น”
ผู้ที่เป็นแฝดพี่หลบตาน้องสาวครู่หนึ่งด้วยละลายใจต่อสิ่งที่ตนเองได้เงียบหายไปกับเจ้าชายซารีฟร์ก่อนหน้านี้ไม่กี่สิบนาที
“อืม...อยากเซอร์ไพรส์คุณพ่ออยากไปจ๊ะเอ๋คุณพ่อที่บ้านเลย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโทรไปบอกคุณพ่อเหมือนกัน”
นาราพรรณเอ่ยตอบหนักใจเสียเต็มประดากับการตัดสินใจในครั้งนี้
“เอาเป็นว่าไม่ต้องโทรน่ะน้ำค้าง”
นาราภัทรตัดสินใจแทนน้องสาวด้วยรู้ว่ายิ่งออกความคิดเห็นยิ่งเสนอแนะก็ยิ่งทำให้น้ำค้างตัดสินใจได้ยากยิ่งขึ้น
“เพลียหรือน้ำหนาว”
เจ้าชายซารีฟร์กระซิบถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจุมพิตตรงกลางกระหม่อมกระชับร่างบางให้แนบชิดกับเรือนกายตนเองมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มละมุนละไมปรากฏทั่วใบหน้าคมหล่อเหลาดีใจที่หญิงสาวเผยอาการไว้วางใจโอบกอดตัวเขาก่อนเป็นครั้งแรก
นาราภัทรเงยหน้าขึ้นยื่นริมฝีปากขึ้นไปกดจุมพิตหนักหน่วงตรงปลายคางบึกบึนก่อนจะงึมงำตอบแผ่วเบา
“เพลียนิดหน่อยค่ะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่”
“งั้นเดี๋ยวรอเครื่องขึ้นก่อนเราจะพาเจ้าไปพักที่ห้องนอน”
มือใหญ่โอบกอดกระชับรอบเอวบางเกยคางบึกบึนบนศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสลวยพลางหลับตานิ่งรอจนกระทั่งเครื่องบินเริ่มทะยานสู่ท้องฟ้าแหวกม่านเมฆไต่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยแล้วจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกกำลังจะอุ้มร่างบางระหงมาไว้ในอ้อมแขนแต่นาราภัทรเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน
“นั่งพักอยู่ที่นี่แหละค่ะ ไม่ต้องไปที่ห้องนอนหรอก เอ่อ...น้ำหนาวอายน้องกับองครักษ์ของเจ้าชาย”
เจ้าชายซารีฟร์หันไปมององครักษ์ของตนเองที่กำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับงานด่วนที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากเซษฐาฮารีฟร์ที่โทรมาสั่งงานไว้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนเดินทาง ส่วนนาราพรรณตอนนี้สุขสำราญอยู่กับชุดโฮมเธียเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งหญิงสาวกำลังดูคอนเสิร์ตของวงดนตรีชื่อดังก้องโลกอย่างวงเทกแดต (TAKE THAT)
“ไปพักที่ห้องนอนเถอะ นอนไม่เต็มหลังแบบนี้จะทำให้ปวดเมื่อยเปล่าๆ”
นาราภัทรยิ้มเพลียๆ ใบหน้าร้อนผ่าวปวดหัวตุบๆ ราวกำลังจะจับไข้เธอหันไปมองเก้าอี้นุ่มทำจากหนังแท้ตัวใหญ่ที่สามารถปรับเอนนอนได้อย่างสบายๆ จากนั้นก็หันมาเอ่ยแซวคนที่กำลังอุ้มเธอมาไว้ในอ้อมแขน
“นอนยังไงก็ไม่ปวดหลังหรอกค่ะเก้าอี้ตัวใหญ่ซะปานนี้”
“ไปนอนที่ห้องเถอะ เราสัญญาว่าจะไม่รบกวนเจ้า ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ”
เจ้าชายหนุ่มไม่ฟังคำปฏิเสธอีกต่อไปเมื่อกระชับร่างบอบบางมาไว้ในอ้อมแขนได้แล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงดิ่งไปยังห้องนอนใหญ่หรูหราที่อยู่ภายในเครื่องบินหลวง เขาวางร่างโปรงระหงบนเตียงหนาด้วยกริยาอ่อนโยนจากนั้นก็ทอดกายลงนอนเคียงข้าง
นาราภัทรพลิกกายหันหน้าเข้าหาอกกว้างกำยำจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกดจุมพิตหวานฉ่ำเนิ่นนานที่ริมฝีปากร้อนผ่าวซึ่งเปิดรับอย่างเต็มใจจากนั้นก็ผละออกแล้วซบหน้ากับซอกคอแข็งแกร่ง
เจ้าชายหนุ่มแห่งทะเลทรายสีทองรับรู้ได้ว่านาราภัทรจงใจมอบจุมพิตหวานล้ำดุจดังน้ำผึ้งเป็นจุมพิตสุดท้ายให้กับตนเองก่อนที่จะจากลากันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ริมฝีปากร้อนผ่าวกดประทับจุมพิตตรงกลางกระหม่อมกระชับร่างบางให้แนบชิดหัวใจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแล้วหลับตาลงลอบถอนหายใจยาววิงวอนต่อคลื่นเม็ดทรายนับแสนนับล้านทั่วทั้งแผ่นผืนอัลนูรีนให้หยุดเวลาไว้เพียงแค่นี้...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย