เจ้าชายซารีฟร์ผงกหัวขึ้นมองพร้อมกับจูบซับเม็ดเหงื่อให้ทั่วหน้าผากมนใบหน้างามหวน เขารู้สึกว่าโลกทั้งโลกกำลังหยุดหมุนสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายจางหายไปในพริบตาทุกคราที่มีนาราภัทรอยู่ในอ้อมแขน
“ค้างที่โอเอซิสกับเราน่ะน้ำหนาว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองหลวงพร้อมกัน”
ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ไปตามเรียวปากอิ่มที่บวมเจ่อจากพิษเพลิงสวาทเมื่อสักครู่ ใบหน้าคมเข้มระบายไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นขณะเอ่ยร้องขอเสียงทุ้มนุ่มนวล
นาราภัทรหลบสายตาที่ทอดมองรอคอยเต็มได้ด้วยดวงไฟแห่งความปรารถนาอย่างเอียงอายก่อนจะเอ่ยปฏิเสธแผ่วเบา
“เอ่อ...คงไม่ได้หรอกค่ะ”
“เราเกลียดคำว่า ‘ไม่’ ของเจ้า เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกพูดคำนี้และรู้จักเอ่ยตอบรับสักที”
เจ้าชายซารีฟร์ตะคอกถามเสียงดังพร้อมกันนั้นก็ผุดลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงคว้าเสื้อผ้าที่ตนเองเป็นผู้ปลดเปลื้องมาโยนใส่ร่างบางที่คู้เข่าเข้าหากัน
“ถ้าเจ้าจะมาเพื่อปฏิเสธตอกย้ำให้เราเจ็บปวดมากกว่าเดิมก็กลับไปซะแล้วอย่าได้มาที่นี่เอง ไม่ขาดเจ้าเราก็ไม่ตายยังมีนางในฮาเร็มอีกหลายคนคอยให้บริการอยู่”
นาราภัทรเอื้อมมือที่สั่นระริกไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างเงอะงะเชื่องช้า ดวงตาคู่สวยพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาที่หล่อเลี้ยงเอ่อคลอเบ้าก่อนจะร่วงเผาะลงมาตามร่องแก้ม เรียวปากอิ่มถูกขบเม้มเป็นเส้นตรงจนห้อเลือดเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกมาให้คนใจร้ายได้ยิน ถ้อยคำเย้ยหยันถากถางกอปรกับดวงตาคมกริบที่จ้องมองเขม็งราวกับเธอเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจขยะแขยงทำเอาหัวใจดวงเล็กเจ็บปวดร้าวรานเลือดออกซึมจากเส้นแส้ที่เฆี่ยนกระหน่ำลงไปจนแทบไม่อยากหายใจ หญิงสาวหยันกายก้าวลงจากเตียงได้ในสุดใบหน้างามเงยขึ้นมองบุรุษชาติที่รักยิ่งด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่าโดยไม่เอื้อนวาจาใดๆ ออกมาก่อนจะลากเท้าที่หนักอึ้งตรงไปที่ประตูห้องนอน
“ก่อนจะไปเราจะบอกให้รู้ว่ารสจูบการสนองตอบในเพลิงสวาทยังคงซาบซ่านถึงพริกถึงขิงดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกับหัวใจที่เย็นชาของเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักวินาทีเดียว”
เจ็บยิ่งนักกับวาจาเยาะหยันที่ยังคงฟาดกระหน่ำลงมาไม่หยุดโดยปราศจากซึ่งความปราณี แต่ก็สมควรแล้ว... จะโทษใครได้ก็ต่อเมื่อเธอร่านสวาทตามมาตอบสนองเสนอตัวให้ถึงถิ่นของเจ้าชายซารีฟร์เอง หญิงสาวหันหลังกลับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบด้วยสายตาที่เจ็บปวดก่อนจะเอ่ยบอกความในใจที่ทำให้ตนเองได้เดินทางมายังถิ่นพำนักของบุรุษที่รัก
“น้ำหนาวมาที่นี่เพราะอยากจะบอกว่าน้ำหนาวรักเจ้าชาย รักบุรุษชาติอาหรับผู้ที่คอยปกป้องทำให้น้ำหนาวอบอุ่นปลอดภัยทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้และคำว่า ‘ไม่’ ของน้ำหนาวถูกชะล้างจางหายไปเพราะความรักภักดีที่เจ้าชายมอบให้ แต่มันกำลังจะกลับมาอีกครั้งเพราะการกระทำวาจาถากถางเย้ยหยันของเจ้าชายเอง”
ถ้อยคำบอกรักแกมตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจทำเอาเจ้าชายซารีฟร์ตกตะลึงอ้าปากค้างเป็นเวลานานด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำบอกรักจากหญิงอันเป็นที่รักซึ่งใจแข็งยิ่งกว่าธารน้ำแข็งและกว่าจะรู้สึกตัววิ่งตามแก้วตาดวงใจออกมาจาห้องนอน เฮลิคอปเตอร์ก็ได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามมุ่งหน้ากับไปยังเมืองหลวงซึ่งอยู่ห่างไกลไม่กี่สิบไมล์แต่เหมือนอยู่ห่างไกลคนละฟากฟ้ากั้น
“ระยำ! ทำไมมาบื้อคิดอะไรไม่ออกเอาตอนนี้”
เจ้าชายซารีฟร์สบถลั่นชกโครมลงไปบนผนังห้องเย็นเชียบนึกโทษตัวเองที่เชื่องช้าคิดอยู่เป็นนานกว่าถ้อยคำบอกรักจะซึมซับเข้าไปในหัวใจแข็งแกร่ง
“ราชิต อาดิล พวกเจ้าอยู่ไหน” เจ้าชายหนุ่มตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ให้วุ่นขณะที่มองตามเฮลิคอปเตอร์ซึ่งเคลื่อนตัวบินหายไปจนลับสายตา
“ราชิต อาดิล” คราวนี้ตะโกนลั่นดังกว่าเดิมเมื่อไม่เห็นองครักษ์เอกโผล่หน้ามาให้เห็นสักคน
“พระองค์พะยะค่ะ ราชิตกับอาดิลยังไม่กลับจากเมืองหลวงพะยะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มซึ่งเป็นวิศวกรมือหนึ่งผู้คุมงานก่อสร้างโรงแรมได้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานให้เจ้าเหนือหัวได้ทรงทราบ
“บ้าชะมัด...มีฮอเหลืออยู่อีกไหม”
เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายหลุดเสียงสบถออกมาอีกครั้งรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ใจนึกคิด
“ไม่มีแล้วพะยะค่ะ อาดิลขับไปที่เมืองหลวงลำหนึ่งส่วนอีกลำองครักษ์ก็เพิ่งขับไปรับเจ้าชายชารีฟร์ที่เผ่าคาลีส์
พะยะค่ะ”
“ถ้างั้นไปเตรียมอูฐเดี๋ยวนี้ เอาตัวที่ฝีเท้าจัดที่สุด”
เจ้าชายซารีฟร์สั่งเสียงห้วนหันหลังกลับก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนเตรียมชุดสำหรับออกเดินทางด้วยพาหนะสัตว์สี่เท้าท่ามกลางคลื่นละอองเม็ดทรายอันร้อนระอุ
“พระองค์จะเข้าเมืองหลวงหรือพะยะค่ะ”
วิศวกรหนุ่มเดินตามเจ้าเหนือหัวเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับตั้งคำถามไม่หยุดโดยหารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังกวนตะกอนความโมโหโกรธาให้ขุ่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย