พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 148

สรุปบท บทที่ 148 จ้านชิงอิง: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว

ตอน บทที่ 148 จ้านชิงอิง จาก พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 148 จ้านชิงอิง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว ที่เขียนโดย เสี่ยวโหม เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เฟิ่งชิงหัวหันมองชายหนุ่มโดยไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า ลมหายใจของจ้านเป่ยเซียวกำลังพ่นลงบนใบหน้าของตนเองอยู่

แววตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มลึกซึ้งและเฉียบคม ตอนนี้กำลังจับจ้องมาที่นางตาเขม็ง อารมณ์บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็ค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้จนกระทั่งเฟิ่งชิงหัวมองเห็นตัวเองในแววตาคู่นั้น

ตอนนี้เอง เฟิ่งชิงหัวก็ขยับถอยหลังไปทันที แล้วยื่นมือออกไปปิดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก : “ท่านอย่าทำอะไรมั่ว ๆ นะ”

จ้านเป่ยเซียวทำหน้านิ่ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ : “ถ้าแค่อยากเห็นใบหน้าของคนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดเช่นเจ้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะจูบเจ้าหรือ ?”

สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนไปในทันที นางจ้องมองจ้านเป่ยเซียว แล้วแทงเข่าไปยังจุดที่บอบบางที่สุดในร่างกายของเขา

จ้านเป่ยเซียวไม่คิดเลยว่า เฟิ่งชิงหัวจะทำอะไรเหนือความคาดหมายเช่นนี้ จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และงอตัวลงทันที

เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากเตียงของจ้านเป่ยเซียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยืนอยู่ตรงหัวเตียงแล้วก้มมองลงมายังชายหนุ่มที่กำลังขดตัวอยู่ในทีท่าประหลาด จากนั้นจึงกัดฟันพูดว่า : “บอกว่าข้าอาย ? ข้านะหรือจะรู้จักอาย ? หึ ?”

ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง

ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ รับลมเย็น ทำให้ความโกรธที่ครุกรุ่นอยู่ในหัวของเฟิ่งชิงหัว เบาบางลงไปบ้าง

แต่ไหนแต่ไร นางเกลียดการที่ถูกคนใส่ร้ายที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าพูดว่านางคิดจะทำมิดีมิร้ายเขา หากไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย คิดว่านางอับอายจริง ๆ

ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวไม่รู้สึกง่วงนอนอีก จึงนั่งลงที่โต๊ะหินภายในสวน แล้วเริ่มทำสมาธิปรับลมปราณ

ใช้กำลังภายในไปไม่น้อย สองสามวันนี้คงออกไปข้างนอกไม่ได้เป็นการชั่วคราว ดูเหมือนว่าบางเรื่องคงต้องถูกเลื่อนออกไปก่อนเสียแล้ว

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด ๆ ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวค่อย ๆ สว่าง มีกลีบดอกไม้ดีชมพูอ่อนร่วงลงมาบนหัวสองสามกลีบ

เฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในร่างกายเบาบางลงไม่น้อย

เฟิ่งชิงหัวบิดขี้เกียจแล้วกระโดดลงมาจากโต๊ะหิน จากนั้นจึงหันมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ ก็ถ่มน้ำลายออกมา แล้วเดินกลับไปยังห้องของตนเองทันที โดยไม่หันหน้ากลับไปมองสักนิด

ทันทีที่เข้าไปในห้อง เฟิ่งชิงหัวก็ต้องรู้สึกแสบตาเพราะความสว่าง จึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นบังสายตาเอาไว้ เมื่อดวงตาเริ่มปรับแสงได้ จึงหันมองไป พบว่าภายในห้องมีปะการังสีแดงที่พบในฉีเป่าเจเมื่อวานนี้ วางตระหง่านอยู่

เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าปะการังต้นนี้สูงเกือบจะเท่าไหล่ของนาง สีสันงดงามสดใส ราวกับสามารถส่องแสงได้

เฟิ่งชิงหัวลองลูบดู กลับพบว่าปะการังต้นนี้มีไอเย็นแผ่ซ่านออกมาเล็กน้อย และรู้สึกชื้น

นี่นับเป้นเครื่องทำความเย็นและเพิ่มความชื้นในอากาศที่ดี

เฟิ่งชิงหัวเล่นอยู่สักพัก ก็ให้ม่านเฉ่าตักน้ำมาให้นางอาบน้ำสระผม

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างง่ายเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็พิงตัวลงบนเก้าอี้สำหรับเอนกายที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างแล้วอ่านหนังสือ เป็นหนังสือภาพที่หน้าเบื่อเล็กน้อย สำหรับฆ่าเวลาโดยเฉพาะ และถือโอกาสผึ่งเส้นผมที่ยังเปียกอยู่ให้แห้ง

ผ่านไปไม่นานนัก ม่านเฉาก็นำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่ง ด้านบนไม่มีชื่อเขียนเอาไว้ และได้ยินนางพูดว่า : “พระชายาเพคะ ที่คือจดหมายที่นายท่านให้หม่อมฉันนำมามอบให้พระองค์ บอกว่าพระองค์จะต้องทรงอ่านให้ได้ เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วหันมองม่านเฉ่า เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทำให้ม่านเฉ่าคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกใจทันที

“พระชายาทรงอภัยด้วย จดหมายฉบับนี้ นายท่านส่งมาโดยอ้างชื่อคนในครอบครัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้อะไรด้วยเลยจริง ๆ เมื่อครู่เพิ่งพบเข้าตอนที่จัดของ จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ” ม่านเฉ่ารีบอธิบาย

เฟิ่งชิงหัวมองดูการแสดงออกทางสีหน้าของนาง เมื่อมั่นใจว่านางไม่ได้โกหกจึงพูดขึ้นว่า : “ลุกขึ้นเถอะ”

“ขวางพระชายาเอาไว้ !”

องครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในจวนค่อย ๆ กรูกันเข้ามา เฟิ่งชิงหัวสะบัดแขนเสื้อกว้าง จากนั้นก็มีควันฟุ้งกระจายออกมา เมื่อบรรดาองครักษ์เหล่านี้สูดดมเข้าไป ก็ค่อย ๆ ไร้เรี่ยวแรงและล้มลงกับพื้นทีละคน

เฟิ่งชิงหัวฉวยโอกาสวิ่งออกจากประตูใหญ่ไป โดยเตะประตูจนกระเด็น และขึ้นนั่งหลังม้าของชายคนหนึ่ง แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็วจนไม่เห็นฝุ่น

ชายคนนั้นลุกยืนขึ้นจากพื้น จากนั้นจึงปัดฝุ่นที่อยู่บนตัว แล้วหันมองจวนอ๋องเจ็ดด้วยสีหน้าจนใจ : “คนที่ออกมาจากจวนอ๋องเจ็ดแต่ละคน เป็นคนประเภทไหนกันแน่ เป็นพวกหัวขโมยอย่างนั้นหรือ ไม่ได้ ข้าไม่มีทางให้อภัยแน่ ข้าจะต้องหาคนมาชดใช้ความเสียหายให้ข้าให้ได้ !”

ชายหนุ่มเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในประตูใหญ่ของจวน แต่กลับพบกับองครักษ์ที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นไม่มีใครขวาง เขาจึงเดินเข้าไปด้านในโดยสะดวก เมื่อเห็นจ้ายเป่ยเซียวที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในห้องโถงหลัก ก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้วยความโมโหยิ่งขึ้น

“ท่านพี่เจ็ด ! ท่านดูคนของท่านสิว่าป่าเถื่อนขนาดไหน จู่ ๆ ก็วิ่งออกมาแล้วถีบข้า จากนั้นก็ชิงม้าของข้าหนีหายไป ท่านบอกมาซิว่าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร !” ชายหนุ่มไม่ได้หันมองจ้านเป่ยเซียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่กลับเดินตรงไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ด้วยทีท่าถามหาความรับผิดชอบ

“อ๋องสิบสอง ตอนนี้ท่านควรอยู่เรียนศิลปะอยู่ที่เหมยซานไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ทำไมจึงเดินทางเข้ามาเมืองหลวงตอนนี้ได้ ?” หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้น

“เฮ้อ นี่ไม่ใช้เพราะเสด็จพ่อเห็นว่า วันครบรอบวันเกิดของข้ากำลังจะมาถึงแล้วหรือ ข้ากับอาจารย์จึงลาหยุดมาครึ่งเดือน ใครจะไปรู้ว่า เพิ่งจะเข้ามาในเมือง เมื่อผ่านจวนอ๋องเจ็ดกลับถูกโจรปล้นตอนกลางวันแสก ๆ เสียแล้ว เจ้าบอกมาซิว่า คนที่ออกไปเมื่อครู่คือใคร ! รอให้ข้าจับตัวนางได้ก่อน ข้าจะถลกหนักและตัดเอ็นของนาง จากนั้นให้เสด็จพ่อทรงประหารชีวิตนางเก้าชั่วโคตร !” อ๋องสิบสองพูดขึ้นด้วยความโมโห

หลิวหยิ่งได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะออกมา : “อ๋องสิบสอง เมื่อครู่นั้นคือ......”

“แย่งม้าของเจ้าแล้วอย่างไร ?” ตอนนี้เอง จ้านเป่ยเซียวที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเลิกคิ้วหันมองชายหนุ่ม

อ๋องสิบสองอยู่ในลำดับที่สิบสอง มีนามว่าจ้านชิงอิง ปีนี้มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ตอนอายุ 12 ปี เป็นเพราะป่วยหนัก จึงออกจากวังมาเพื่อรักษาอาการป่วย และเข้าตาเจ้าสำนักเหมยซานเข้า จึงรับตัวเอาไว้เป็นศิษย์ ไปครั้งนี้ก็เป็นเวลาถึงสี่ปี นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาเมืองหลวง

เมื่อจ้านชิงอิงได้ยินคำพูดที่น่ากลัวนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกเสียวกระดูกสันหลังขึ้นมาทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว