เมื่อได้ยินหนานกงจี๋บรรยายถึงคนที่เสียชีวิตแบบนั้น แววตาของเฟิ่งชิงหัวก็เต็มไปด้วยความตะลึงงัน แต่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ทำไมถึงทำหาย”
ตามหลักแล้ว ศพเหล่านั้นไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างมนุษย์ เว้นเสียแต่ว่ามีคนมาเคลื่อนย้าย ไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวเองได้
แต่บริเวณโดยรอบ นางไม่เห็นรถเข็นรวมทั้งร่องรอยของการลากแต่อย่างใด
หนานกงจี๋ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เขาเพียงคิดว่าใต้เท้าหนุ่มคนนี้ไม่แน่ชัดในสถานการณ์ เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็อธิบายโดยละเอียด “ใต้เท้า คืออย่างนี้ขอรับ ทางฝ่ายพวกเราจะต้องส่งตัวนำยาไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ เดือน และจะใช้คาถาปลุกผีเพื่อให้พวกเขาลุกขึ้นเคลื่อนไหวไปข้างหน้า แต่ตอนนี้ผู้ส่งสารคนนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน แม้แต่ตัวนำยาพวกนั้นก็สูญหายไประหว่างทาง เรื่องนี้หากทางการสืบได้จะต้องเป็นเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน”
คาถาปลุกผีเป็นคาถาที่เผ่าเซียนเปย์ใช้เล่นดนตรีในเวลาเซ่นไหว้ คนที่รู้ภาษาของชาวเผ่าเซียนเปย์นั้นในตอนแรกมีน้อยมาก แรงงานอ่อนแอ ดังนั้นหัวหน้าพิธีของพวกเขาในยุคแรกจึงตั้งใจศึกษาคาถาปลุกผีนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และนำมาใช้เฉพาะกับคนตาย เพื่อให้พวกเขาเคลื่อนที่ได้เอง
เฟิ่งชิงหัวเคยอ่านเจอจากในหนังสือเท่านั้น คาถาที่นำไปใส่ทำนองในการควบคุมนั้นมีอยู่ แต่การนำมาใช้กับคนตายนั้น มีหลักการอย่างไรนางเองก็ยังไม่แน่ใจนัก
เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าถามละเอียดเกินไปนัก นางจึงถามคำถามเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย จากนั้นจึงวางแผนใช้โอกาสนี้หนีไป แต่เนื่องจากหนานกงจี๋ให้ความเคารพต่อปี่ซ่ามาก จึงต้องไปส่งด้วยตนเอง เมื่อไปส่งถึงประตูแล้วถึงจะปลีกตัวออกมาได้
เฟิ่งชิงหัวกลับไปที่ห้องและเห็นว่าปี่ซ่ายังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม นางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
นางเอามือตบไหล่หนุ่มน้อยและปลุกเขาให้ตื่น และในช่วงเวลาที่เขาลืมตาขึ้นมานั้นเอง เฟิ่งชิงหัวก็ยื่นจี้ไปจ่ออยู่ตรงหน้าเขา
สายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งมาที่จี้นั้นอย่างไม่ยอมเบนสายตายไปไหน
เฟิ่งชิงหัวส่ายไปมาเบาๆ พลางกล่าวด้วยจังหวะเชื่องช้าและล้ำลึกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปปี่ซ่า เจ้าคือคนของข้า เจ้าต้องยอมแพ้แก่ข้าเท่านั้น ต้องฟังคำสั่งข้า ทำตามที่ข้าสั่งการ หลังจากที่ข้านับถึงหนึ่งแล้ว คำสั่งการจะเริ่มต้นขึ้นทันที”
“ขอรับ” ปี่ซ่ากล่าวอย่างเบาๆ
เฟิ่งชิงหัวยังคงส่ายจี้ที่อยู่ในมือ และค่อยๆ เริ่มนับเลข “สาม สอง หนึ่ง!”
สิ้นเสียงนับ นางก็รับเก็บจี้ไปอย่างรวดเร็ว
ปี่ซ่าเดินลงมาจากเตียง และมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชิงหัวอย่างเคารพนบนอบ พลางเอามือขวาของตนมาวางไว้ที่หัวใจและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เจ้านายของข้า”
เฟิ่งชิงหัวฝืนรับการทำความเคารพของเขาอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะตบไหล่ของปี่ซ่า “ตอนกลับให้ทำสัญลักษณ์ตามทางที่เจ้าเดินไปด้วย ข้าจะไปตามหาเจ้า”
“ขอรับ เจ้านาย” ปี่ซ่ากล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม ไปนอนเถอะ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ย
ปี่ซ่าลุกขึ้นยืนแล้วเดินตัวแข็งทื่อไปที่เตียง เขานอนลงแล้วหลับตา จากนั้นหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเฟิ่งชิงหัวถึงจะผ่อนคลายไหล่ที่ตึงแน่นของตนเอง แล้วเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากทางหน้าผาก
การใช้วิชาสะกดจิตต้องสุญเสียพลังงานไปมาก โดยเฉพาะการต้องการควบคุมคนๆ หนึ่งเป็นเวลานานเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องสูญเสียพลังงานมากยิ่งกว่า แต่เพื่อต้องการที่จะรู้ความจริงว่าเผ่าเซียนเปย์ทำอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่นั้น การยอมแลกครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...