“ท่านไม่เข้าใจ นี่คือวิธีช่วยเหลืออย่างหนึ่ง” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอธิบาย
จ้านเป่ยเซียวยิ้มอย่างเย็นชา: “ข้าไม่เคยเห็นวิธีช่วยเหลือเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ท่านไม่เคยเห็นนั่นเป็นเพราะท่านขาดความรู้ ท่านไม่เห็นเหรอว่าข้าช่วยท่านกลับคืนมาได้ ก่อนหน้านี้ชีพจรของท่านได้ผสมเข้าด้วยกัน หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้ท่านคงพิการไปแล้ว ไม่ใช่แค่สองเท้าไม่สามารถเดินได้ แต่เป็นทั่วทั้งร่างกาย เข้าใจหรือไม่”
“วิธีช่วยเหลือของเจ้า ได้ใช้กับคนอื่นมากี่คนแล้ว?” จ้านเป่ยเซียวกลับจับใจความสำคัญได้ หรี่ตาลง และจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอันตราย
“เรื่องนี้ต้องดูที่สถานการณ์ วิธีนี่ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคน”
“ความหมายก็คือ ถ้าหากใช้ได้ผล ไม่ว่าเป็นผู้ใดเจ้าก็จะใช้วิธีนี้เช่นนั้นหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถาม และออกแรงดึงเฟิ่งชิงหัวหนักขึ้น
“อืม” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างขอไปที ภายในใจกลับคิดว่า นอกเหนือจากคนที่ชอบเสี่ยงชีวิตอย่างท่าน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องใช้การรักษาอย่างอลังการเช่นนี้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย เกรงว่าบนโลกใบนี้ คงไม่มีใครสามารถทนรับกับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะการที่ต้องทุกทรมานกลับไปกลับมาเช่นนี้
แต่ทว่า หลังจากที่ได้ฟังเช่นนี้จ้านเป่ยเซียวก็มีท่าทางไม่ค่อยจะดีนัก ยื่นมือแล้วดึงเฟิ่งชิงหัวเข้ามา: “ในเมื่อเป็นวิธีในการรักษา เช่นนั้นข้าก็ใช้ให้มันหมดก่อน ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะไปใช้กับคนอื่นได้อย่างไร”
กล่าวไปก็พลันจุมพิตเฟิ่งชิงหัวอย่างดุเดือด ถึงกระทั่งที่ได้กัดมุมปากของนางอย่างเป็นการลงโทษ
รอจนกว่าเฟิ่งชิงหัวจะสามารถสลัดหลุดได้ ที่มุมปากของทั้งสองคนย้อมไปด้วยสีแดงสด ดูน่ากลัวเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวเช็ดเลือดที่มุมปาก ถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียว: “นี่ท่านเกิดปีหมาหรืออย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา: “เจ้าลวนลามข้าตั้งหลายครั้ง ข้าเพียงแค่เอาคืนเล็กน้อยเท่านั้น”
“ประสาทหรืออย่างไร” เฟิ่งชิงหัวลุกยืนขึ้นคิดจะจากไป ทว่าแขนยังถูกจ้านเป่ยเซียวจับเอาไว้ นางกล่าวอย่างเย็นชา: “ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อย”
“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จ้านเป่ยเซียวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองการจะทำอะไร อย่างไรเสียก็คือไม่อยากจะปล่อยนาง ไม่อยากเห็นนางหลบหน้าตัวเอง
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนี้
ทั้งสองมองสบตาซึ่งกันและกัน ราวกับกำลังแข่งขันกันอยู่
สุดท้ายเฟิ่งชิงหัวก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ นวดดวงตาที่รู้เจ็บเบา ๆ : “พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้ว ข้าจะไปต้มยาให้ท่าน”
ได้ยินดังนั้น ท่าทีของจ้านเป่ยเซียวถึงได้อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย จ้องมองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เอ่ยถาม: “ที่นี่คือที่ไหน”
“ที่ของสหายของข้า ที่นี่มีสมุนไพรที่อุดมสมบูรณ์กว่า และยังอยู่ใกล้ เมื่อคืนจู่ ๆ ท่านก็สลบไป ข้าไม่มีเวลาส่งท่านไปรักษาที่วังหลวง”
สิ่งที่เฟิ่งชิงหัวไม่ได้กล่าวก็คือ จากอาการบาดเจ็บของจ้านเป่ยเซียว ถึงจะส่งเข้าวังไปก็ไร้ประโยชน์
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก: “จะไปต้มยาให้ข้าจริง ๆ หรือ?”
“ไม่อย่างนั้นเล่า?” เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองบน
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า ถึงได้กล่าวขึ้นมา: “ทำอะไรทานด้วยนะ ข้าหิวแล้ว”
“จ้านเป่ยเซียว ข้ามิใช่แม่ครัวของท่าน!”
“ทานยาโดยที่ไม่ทานอาหาร ร่างกายของข้า จะสามารถย่อยได้หรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองนาง
เฟิ่งชิงหัวพูดไม่ออก ได้แต่กล่าว: “รู้แล้วน่า”
เมื่อจ้านเป่ยเซียวปล่อยมือ นางก็รีบวิ่งออกไปทันที ด้านนอกประตู หลิวหยิ่งได้หอบเสื้อผ้าชุดหนึ่งเอาไว้ และยังมีองครักษ์สองสามคนยืนอยู่ที่ด้านหลัง กำลังยกถังที่ใส่ไว้ด้วยน้ำสะอาดถังหนึ่งเอาไว้
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปในห้องครัว ตักข้าวออกมาและเริ่มต้มโจ๊ก ไม่รู้ว่าอู่ตู๋จื่อมุดเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของนางก็รีบเข้ามาทันที: “เรื่องเช่นนี้จะให้ท่านลงมือได้อย่างไร ข้าทำเอง”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าแค่ช่วยข้าต้มยาก็พอ ตำรับยาได้มอบให้เด็กไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร ต้มยามอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาก็พอ ท่านจะทำอาหารหรือขอรับ? ท่านอยากจะทานอะไร ข้าน้อยจะออกไปซื้อเอง”
“ไม่ต้อง ข้าจะต้มโจ๊ก”
“ข้าต้มโจ๊กเก่งมากเลยล่ะ ข้าทำเอง มือของท่านมิได้มีไว้ทำสิ่งพวกนี้”
“ไม่ต้อง” เฟิ่งชิงหัวขยับหลบ ไม่อยากจะบอกว่าตนทำให้กับบุรุษที่เรื่องเยอะเป็นพิเศษผู้นั้น อีกเดียวถ้าหากชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่ดี คงต้องมีปากเสียงกันอีกเป็นแน่
เห็นแก่ที่เขายอมได้รับบาดเจ็บหนักเพื่อช่วยตนเองเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะทำอาหารให้เขาทาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...